“จุรินทร์” เป็นประธานการลงนาม Mini FTA ไทย-เสิ่นเจิ้น ฉบับที่ 7 ของไทย ที่ทำกับคู่ค้า ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันอีก 43,000 ล้านบาท ในปี 66-67 ส่วนคิวต่อไปลงนามกับยูนนาน และใกล้จะประสบความสำเร็จทำกับ 5 รัฐของอินเดีย รวมถึงสหราชอาณาจักรและปากีสถาน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานสักขีพยานและกล่าวแสดงความยินดีในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งชาติจีน คณะกรรมการเทศบาลเมืองเสิ่นเจิ้น (CCPIT Shenzhen) ร่วมกับนายหวัง ลี่ผิง อัครราชทูต (ที่ปรึกษา) ฝ่ายการพาณิชย์ของจีน ที่ห้องบุรฉัตรไชยากร กระทรวงพาณิชย์ ว่า เป็นโยบายที่ตนมอบแก่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตลอดช่วง 4 ปีที่รัฐบาลนี้มาบริหารแผ่นดิน วันนี้มี FTA ทั้งหมด 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ และ mini FTA 6 ฉบับ ประกอบด้วย โคฟุ ปูซาน คยองกี เตลังกานา และของจีน 2 ฉบับ คือ ไห่หนาน และกานซู่ และที่จะลงนามวันนี้กับเสิ่นเจิ้นเป็นฉบับที่ 7 และถัดจากนี้ยังมีกับยูนนาน และที่กำลังจะประสบความสำเร็จ คือ 5 รัฐของอินเดีย รวมกับสหราชอาณาจักรและปากีสถาน ถ้าประสบความสำเร็จจะเข้ามาช่วยเสริม FTA ในเชิงลึก
“นโยบายที่มอบให้กระทรวงพาณิชย์ คือ ความร่วมมือจัดทำเขตเสรีทางการค้าฉบับใหญ่ หรือ FTA ไม่พอ เป็นภาพกว้าง ภาพรวม ถึงเวลาที่เราต้องใช้นโยบายเชิงลึก เชิงรุก ทำการค้า การลงทุนร่วมกัน ลงลึกรายมณฑล รายรัฐ เพราะบางรัฐบางประเทศใหญ่กว่าประเทศไทย และบางมณฑลของจีน จีดีพีมากกว่าประเทศไทย และเสิ่นเจิ้นมีจีดีพีเกือบเท่าไทย จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนที่เป็นรูปธรรมที่สุดรูปแบบหนึ่ง ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่าย ทั้งไทย และเสิ่นเจิ้น โดยเสิ่นเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของจีน รองจากเซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง เป็นเมืองยุทธศาสตร์เชื่อมมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า เป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจด้านตะวันออกเฉียงใต้ของจีน (Greater Bay Area) เป็นที่รวมของธุรกิจใหม่ ที่รวมของนวัตกรรม เทคโนโลยี และเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของจีน จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันได้มหาศาลในอนาคต” นายจุรินทร์กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2565 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเสิ่นเจิ้น มีมูลค่า 868,000 ล้านบาท ตั้งเป้าร่วมกันหลังมี Mini FTA ภายใน 2 ปี (2566-2567) จะทำให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% หรือจะเพิ่มอีก 43,000 ล้านบาท ในปี 2566-67 เป็น 910,000 ล้านบาท จะเป็นกลไกสำคัญเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม ผลักดันเศรษฐกิจของไทยและจีนให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
การลงนามในครั้งนี้เป็นการลงนามระหว่างนายภูสติ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับนายกู้ ตงจง ประธานสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แห่งชาติจีน คณะกรรมการเทศบาลเมืองเสิ่นเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ และตัวแทนภาครัฐและเอกชนทั้งไทยและจีนให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก