GGC ตั้งงบลงทุนปีนี้ 2.5 พันล้านบาทเพื่อลุยธุรกิจใหม่ร่วมกับพันธมิตร เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม ตั้งเป้าปีนี้มีรายได้ใกล้เคียงปีที่แล้ว 2.5 หมื่นล้าน พร้อมตั้งเป้า EBITDA โตเท่าตัว 3 พันล้านบาทในปี 69 จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท
นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการคนใหม่ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทคาดว่ารายได้จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 25,084 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 953 ล้านบาท เนื่องจากมีแรงกดดันด้านราคาขายผลิตภัณฑ์จากซัปพลายใหม่ที่เข้ามาในตลาด อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ยอดขายเมทิลเอสเทอร์ หรือ B100 เพิ่มขึ้น 20-30% จากปีก่อน หากรัฐส่งเสริมสัดส่วนการผสม B100 ในน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น B10 ส่วนยอดขายแฟตตี้แอลกอฮอล์คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม (EBITDA) เติบโตเท่าตัวในปี 2569 เป็น 3 พันล้านบาทจากปี 2565 อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท และในปี 2573 เพิ่มเป็น 5 พันล้านบาท มาจากการปรับพอร์ตลงทุน ทั้งการต่อยอดในธุรกิจเดิมของบริษัท รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ โดยบริษัทจะเน้น 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel Business), ธุรกิจเคมีชีวภาพ (Biochemical Business) และธุรกิจส่วนประกอบอาหารและโภชนเภสัช (Food & Nutraceutical & BioPharma Business)
บริษัทเน้นเพิ่มความหลากหลายสินค้ามากขึ้น โดยจะมุ่งสู่ธุรกิจปลายน้ำให้ใกล้ชิดกับผู้บริโภคในกลุ่มโอลีโอเคมิคอลมากขึ้น เบื้องต้นมีแผนร่วมกับพันธมิตรเพื่อต่อยอดวัตถุดิบของบริษัท
นายกฤษฎากล่าวว่า บริษัทวางงบลงทุนปี 2566 ไว้ที่ 2.5 พันล้านบาท แบ่งเป็น เงินลงทุนในธุรกิจใหม่จำนวน 2 พันล้านบาท อาทิ เครื่องสำอาง ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะมีข้อสรุปภายในกลางปีนี้ ส่วนอีก 500 ล้านบาทเป็นงบสำหรับซ่อมบำรุงและปรับปรุงเครื่องจักร
“ผลการดำเนินงานของ GGC ในปี 2565 เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีตัวเลขผลการดำเนินงานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งของ GGC ส่วนแนวโน้มรายได้ปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากมีแรงกดดันด้านราคา แต่บริษัทจะพยายามรักษาระดับกำไรในระดับที่ไม่ด้อยกว่าปีที่ผ่านมา”
ส่วนความคืบหน้าโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) ระยะ 2 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งน้ำ ไฟฟ้า การเตรียมวัตถุดิบป้อนให้บริษัท NatureWorks ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PLA รายใหญ่ในสหรัฐฯ คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้าทำให้บริษัทรับรู้รายได้ในปี 2567
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าทิศทางการดำเนินงานตาม 3 ยุทธศาสตร์หลักเพื่อบรรลุเป้าหมายในระยะยาว ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน (Enhance Competitiveness) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Enhance Competitiveness) และสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) เพื่อรองรับต่อสถานการณ์ที่กดดันต่อการดำเนินธุรกิจรวมทั้งการสร้างผลกำไรอย่างเต็มความสามารถ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันตลอดห่วงโซ่อุปทานและสร้างการ Integrate ในมาบตาพุด (Supply Chain Management &MTP Integration) โดยบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่วัตถุดิบ ระบบโลจิสติกส์ ถังเก็บ คลังสินค้า และสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ และคุ้มค่า
ด้านยุทธศาสตร์ที่ 2 ยุทธศาสตร์การเติบโตในธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม (Growth Portfolio) การมุ่งเน้นสร้างการเติบโตผ่านการลงทุนต่อยอดในธุรกิจเดิมของบริษัท รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ ที่จะพุ่งเป้าไปที่ BioJet, ธุรกิจเคมีชีวภาพ และธุรกิจส่วนประกอบอาหารและโภชนเภสัช ในกลุ่มเครื่องสำอางและอาหารเสริมมากขึ้น
ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 3 ยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability Development) เพื่อการเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการอย่างยั่งยืนและเน้นย้ำถึงบทบาทความ “เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนพลังแห่งการสร้างสรรค์ เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืน” บริษัทได้ยึดถือกรอบการดำเนินงานตามแนวคิดการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน (ESG)