ผลพวงจากนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ของรัฐบาลผ่านโครงการ “อมก๋อยโมเดล” ที่ริเริ่มโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เริ่มเห็นแสงสว่างจากปลายอุโมงค์สำหรับ “พืชสามหัว” ซึ่งประกอบด้วย หอมแดง กระเทียม และหอมหัวใหญ่ โดยการขับเคลื่อนของกรมการค้าภายใน ภายใต้หัวเรือใหญ่อธิบดี “วัฒนศักย์ เสือเอี่ยม” ที่สนองนโยบายทำงานแบบมุ่งเป้า
ภาพเกษตรกรปิดถนนประท้วงหรือการนำผลผลิตมากองรวมกันแล้วเผาทิ้ง เป็นภาพที่เห็นจนชินตาในอดีตเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว มาวันนี้เหตุการณ์เหล่านั้นไม่มีอีกแล้ว กลับมีแต่ภาพรอยยิ้มปลื้มปริ่มของพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกหอมและกระเทียมหลังผลผลิตราคาดีและมีตลาดรองรับชัดเจน
จากจุดเริ่มต้น “อมก๋อย โมเดล” นโยบายที่เจ้ากระทรวงนำมาใช้ในการแก้ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำในสินค้า 4 กลุ่ม และหนึ่งในนั้นคือพืชสามหัว โดยเริ่มจากการนำผู้ประกอบการเดินทางไปรับซื้อถึงแหล่งผลิตจากกลุ่มเกษตรกรโดยตรง พร้อมทำสัญญาซื้อขายผลผลิตล่วงหน้าในราคานำตลาด
จากนั้นมีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยกรมการค้าภายใน นับตั้งแต่นโยบายอมก๋อยโมเดลเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2563 ผลจากการขับเคลื่อนทำงานแบบมุ่งเป้าของอธิบดีจึงเริ่มเห็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นในวันนี้
“เมื่อก่อนแค่ลงนามเอ็มโอยู (MOU) ถ่ายภาพแล้วก็จบ ตอนนี้ไม่ใช่มันต้องเซตเลยผู้ประกอบการที่ร่วมกับเราต้องซื้อในราคานี้ รายใดมีปัญหาตลาดมีไม่พอ กรมฯ ก็จะช่วยจัดหาตลาดปลายทางให้เพิ่ม เช่น ร้านอาหารธงฟ้า ร้านค้าธงฟ้า ปั๊มน้ำมัน รถโมบายล์พาณิชย์ ห้างท้องถิ่น พวกนี้เป็นเอาต์เลตของเรา แต่คุณต้องซื้อผลผลิตในราคานำตลาด มันก็จะวิน-วินทุกฝ่าย ผู้ประกอบการได้ตลาดเพิ่ม เกษตรกรก็ขายได้ราคา”
นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เผยต่อว่า จากการตรวจสอบราคาพืชสามหัวปีนี้ (2566) เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่า ณ เวลานี้ราคาปรับเพิ่มขึ้นทุกตัว โดยปีที่แล้ว (2565) หอมหัวใหญ่ราคาอยู่ที่ 12 บาท/กิโลกรัม ปีนี้เพิ่มเป็น 16 บาท/กิโลกรัม ส่วนหอมแดง 9 บาท/กิโลกรัม เพิ่มเป็น 13 บาท/กิโลกรัม และกระเทียมปีที่แล้ว 13 บาท/กิโลกรัม ปีนี้เพิ่มเป็น 14.5-15.0 บาท/กิโลกรัม ซึ่งราคาปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20-30%
“ช่วงนี้อยู่ในต้นฤดูกาลราคายังสูง แต่เพื่อความมั่นใจในเรื่องราคาช่วงผลผลิตออกชุก 3 เดือนจากนี้ไปคือกุมภาพันธ์ มีนาคมและเมษายน เราจำเป็นต้องเข้าไปซื้อผลผลิตล่วงหน้า ซึ่งในปี 66 คาดว่าผลผลิตจะมีประมาณ 257,135 ตัน โดยใช้มาตรการอมก๋อยโมเดล ซึ่งปีที่แล้ว (2565) เราทำไปประมาณ 9,000 ตัน ส่วนปีนี้ (2566) จะทำเพิ่มเป็น 22,800 ตัน โดยแบ่งเป็นหอมหัวใหญ่ 7,300 ตัน หอมแดง 7,500 ตัน และกระเทียม 8,000 ตัน” รองอธิบดีกรมการค้าภายในเผย
อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์ของกรมการค้าภายในปริมาณผลผลิตพืชสามหัวในปี 2566 นี้จะมีปริมาณ 257,135 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับผลผลิตปีที่แล้ว (2565) อยู่ที่ 233,808 ตัน โดยแบ่งเป็นหอมหัวใหญ่ 36,479 ตัน หอมแดง 155,765 ตัน และกระเทียม 64,891 ตัน
โดยแหล่งเพาะปลูกใหญ่อยู่ในพื้นที่ทางภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา ลำปาง แม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ และภาคอีสานบางจังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ ซึ่งแหล่งปลูกหอมแดงคุณภาพระดับจีไอ (GI)
นายกรนิจกล่าวถึงมาตรการบริหารจัดการพืชสามหัว นอกจากให้เป็นไปตามกลไกตลาดปกติแล้ว ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในก็จะเข้าไปดูแล ทั้งการจัดการผลผลิตในประเทศและมาตรการทางกฎหมายควบคู่กันไป โดยการจัดการผลผลิตในประเทศนั้น ประกอบด้วย 1. การกระจายออกนอกพื้นที่จากแหล่งผลิตและการเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง 2. การเก็บสต๊อก 3. อมก๋อยโมเดล 4. รถเร่หรือโมบายล์พาณิชย์ และ 5. สถานบริการน้ำมัน ได้แก่ ปตท. บางจาก พีที และเชลล์
ส่วนมาตรการทางกฎหมายจะดำเนินการต่อผู้กระทำผิดในอัตราโทษสูงสุด เนื่องจากพืชสามหัวบางตัวเป็นสินค้าควบคุม ขนย้ายต้องแจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ แสดงราคารับซื้อและจำหน่ายปลีกอย่างชัดเจน พร้อมตรวจสอบสำแดงราคานำเข้า (เทียบกับราคาจำหน่ายกระเทียมในจีน) ตลอดจนการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้า โดยร่วมกับฝ่ายความมั่นคง กอ.รมน. ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ในการจับกุมดำเนินคดีผู้กระทำผิดในอัตราโทษสูงสุด จำคุก 5 ปี ปรับ1 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ
“ปีที่แล้วจับกุมผู้กระทำผิดได้ 12 ราย เป็นการขนย้ายไม่ตรงตามหนังสืออนุญาต 9 ราย และไม่มีหนังสืออนุญาตขนย้าย 3 ราย หากพบเบาะแสการกระทำผิด โทร.แจ้ง 1569 กรมการค้าภายในครับ” รองอธิบดีกรมการค้าภายในย้ำทิ้งท้าย