“พาณิชย์” เคาะส่วนต่างประกันรายได้ข้าว งวดที่ 15 จ่ายชดเชยเหลือเพียง 1 ชนิด “ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่” ส่วนอีก 4 ชนิดไม่ต้องจ่ายชดเชย เหตุข้าวเปลือกหอมมะลิสิ้นสุดฤดูกาล ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว ราคาทะลุเพดานประกัน เผยผู้ส่งออก โรงสี แย่งซื้อข้าว ปัจจัยหลักดันราคาขยับแรง ย้ำเดินหน้าตรวจสอบการรับซื้อต่อเนื่อง ป้องกันกดราคา โกงน้ำหนัก
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้พิจารณาราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงและการชดเชยส่วนต่างราคาตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2565/66 งวดที่ 15 สำหรับเกษตรกรที่แจ้งวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 14-20 ม.ค. 2566 โดยมีการจ่ายเงินส่วนต่างให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพียง 1 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิไม่ต้องจ่าย เพราะสิ้นสุดฤดูเก็บข้าว ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว ไม่ต้องจ่าย เพราะราคาสูงกว่าเป้าหมาย
โดยข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่มีเกณฑ์กลางตันละ 13,614.88 บาท เกษตรกรจะได้รับชดเชยส่วนต่างตันละ 385.12 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 6,161.92 บาท ข้าวเปลือกปทุมธานี เกณฑ์กลางตันละ 11,147.94 บาท สูงกว่าประกันรายได้ที่ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า เกณฑ์กลางตันละ 10,052.72 บาท สูงกว่าประกันรายได้ที่ตันละ 10,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียว เกณฑ์กลางตันละ 12,540.13 บาท สูงกว่าประกันรายได้ที่ตันละ 12,000 บาท
ทั้งนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงภายใน 3 วันทำการ หรือภายในวันที่ 25 ม.ค. 2566 โดยมีเกษตรกรได้รับชดเชยตามข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตรงวดที่ 15 นี้ จำนวน 4,206 ครัวเรือน
สำหรับในพื้นที่ภาคใต้ จะช้ากว่าภาคอื่น เพราะมีการเพาะปลูกช้า โดยขณะนี้ผลผลิตเริ่มออก แต่การจ่ายชดเชยส่วนต่างจะมีการทยอยกระจายไปทุกงวด โดยเริ่มต้นเก็บเกี่ยวเดือน พ.ย. 2565 และจะออกเป็นปริมาณมากในเดือน เม.ย. 2566 ซึ่งถัดจากนี้ก็จะทยอยโอนส่วนต่างไปเรื่อยๆ ชาวนาภาคใต้ก็จะได้รับส่วนต่างเหมือนกับชาวนาทุกภาค
นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า สมาคมค้าข้าวไทยและสมาคมโรงสีข้าวไทยให้ข้อมูลว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้เนื่องจากสถานการณ์การส่งออก ยังมีความต้องการข้าวขาว ทั้งจากฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และอิรัก จึงมีการเร่งซื้อเพื่อส่งมอบ โดยการส่งออกทั้งปี 2565 มีปริมาณ 7.69 ล้านตัน สูงกว่าเป้าหมาย 7.50 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ซึ่งส่งออกได้ 6.30 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 22.06%
โดยการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างงวดที่ 1-14 ที่ผ่านมา จ่ายแล้วจำนวน 2.586 ล้านครัวเรือน วงเงิน 7,833.59 ล้านบาท และในส่วนของการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว (ไร่ละพันบาท) ธ.ก.ส. ได้โอนเงินให้เข้าบัญชีเกษตรกรแล้วกว่า 4.61 ล้านครัวเรือน
ส่วนการโอนเงินให้เกษตรกรที่ผ่านมาที่มีกรณีโอนเงินไม่สำเร็จจากปัญหาด้านบัญชีเงินฝาก ซึ่ง ธ.ก.ส.ได้มีการติดตามแก้ไขปัญหาไประดับหนึ่งแล้ว ทำให้ยอดการโอนเงินให้เกษตรกรไม่สำเร็จลดลง แต่ขอให้เกษตรกรตรวจสอบบัญชีเงินฝากและติดต่อกับ ธ.ก.ส.เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการรับเงินชดเชยส่วนต่างตามโครงการ เช่น กรณีปัญหา ชื่อ-สกุล ไม่ตรง บัญชีปิด บัญชีถูกอายัด หรือหากยังไม่มีบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. ขอให้เกษตรกรติดต่อเปิดบัญชีใหม่กับ ธ.ก.ส. สาขาในพื้นที่ เพื่อ ธ.ก.ส.จะได้ดำเนินการโอนเงินให้แก่เกษตรกรได้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรมฯ จะเพิ่มการติดตามดูแลการซื้อขายข้าวเปลือก ทั้งในเรื่องของการปิดป้ายแสดงราคารับซื้อ รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องชั่งน้ำหนักและเครื่องวัดความชื้น ซึ่งหากพบเห็นว่าท่าข้าวหรือโรงสีใดไม่ปิดป้ายแสดงราคารับซื้อ กดราคารับซื้อ โกงน้ำหนัก หรือมีพฤติกรรมใดๆ ที่เป็นการเอาเปรียบชาวนา สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร. 1569