ผู้จัดการรายวัน 360 - เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ CRC ปลุกบรรยากาศการจับจ่ายช่วงเทศกาลอย่างต่อเนื่อง นำทัพ 5 กลุ่มธุรกิจในเครือจัดเต็มโปรโมชันขานรับ ‘ช้อปดีมีคืน’ ปี 2566 จากภาครัฐที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ และปลุกกำลังซื้อของผู้บริโภค เสริมมู้ดการชอปปิ้งและยอดใช้จ่ายช่วงเทศกาลปีใหม่ และตรุษจีน
นางสาวปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เซ็นทรัล รีเทล และทุกกลุ่มธุรกิจในเครือพร้อมขานรับมาตรการ ‘ช้อปดีมีคืน’ ปี 2566 ของภาครัฐที่เป็นทั้งของขวัญปีใหม่ และเป็นยาแรงที่เข้ามาช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศให้คึกคักยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปีนี้ที่พิเศษยิ่งกว่าทุกครั้ง เนื่องจากเป็นการออกมาตรการในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง ทั้งวันปีใหม่ วันเด็ก ตรุษจีน และวาเลนไทน์ รวมถึงยังเพิ่มประเภทสินค้าและบริการที่เข้าร่วมอย่างค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และเพิ่ม Volume ในการรับสิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 40,000 บาท เพื่อรับคืนภาษีสูงสุดถึง 14,000 บาท
ผนวกกับแคมเปญการตลาดและโปรฯ แรง On-Top ที่ทุกกลุ่มธุรกิจในเครือของเซ็นทรัล รีเทล ออกมาเสริมสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้า เช่น สินค้าลดสูงสุดถึง 80% และรับคูปองส่วนลดแทนเงินสดเพิ่มสูงสุดถึง 2,800 บาท และใช้คะแนนบัตรเครดิตลดเพิ่ม และรับเครดิตเงินคืนอีกสูงสุดถึง 30% พร้อมรับของสมนาคุณ และบริการผ่อนชำระ 0% หรือจัดส่งสินค้าฟรี เมื่อชอปสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด ทำให้เรามั่นใจว่ายอดขายของเซ็นทรัล รีเทล จะเติบโตสูงขึ้น และดันยอด Ticket Size และยอดทราฟฟิกของลูกค้าให้สูงขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ ธุรกิจที่ได้รับความสนใจและได้อานิสงส์จากโครงการช้อปดีมีคืน ที่กระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้มากขึ้นเป็นพิเศษ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและโรบินสัน, ท็อปส์, ไทวัสดุ และเพาเวอร์บาย เนื่องจากช่วงเวลาของแคมเปญตรงกับเทศกาลใหญ่ๆ ถึง 4 เทศกาลด้วยกัน ผู้บริโภคจึงมีการซื้อสินค้ากันเพิ่มมากขึ้น เพื่อมอบเป็นของขวัญ เลี้ยงฉลอง รวมถึงตกแต่งบ้านเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน จึงช่วยสร้างมู้ดการชอปปิ้งที่คึกคักให้กับทุกธุรกิจในเครือของเซ็นทรัล รีเทลได้เป็นอย่างดี”
โดยในปี 2566 นี้ นอกจากการออกใบกำกับภาษีในรูปแบบกระดาษ ทุกกลุ่มธุรกิจในเครือของเซ็นทรัล รีเทล ยังพร้อมให้บริการออกใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากรอีกด้วย ซึ่งจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น และเป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างรวดเร็ว สอดรับกับเป้าหมายของภาครัฐที่คาดการณ์ว่าจะมีตัวเลขหมุนเวียนเข้าสู่ระบบมากถึง 56,000 ล้านบาทจากโครงการนี้ ตลอดจนช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว