การตลาด - อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเริ่มโงหัวขึ้นหลังจากจีนเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวจีนออกเที่ยวได้แล้ว คาดตัวเลขจีนทั้งปีนี้ที่ 5 ล้านคน กำลังซื้อจากจีนทะลัก ธุรกิจเกี่ยวเนื่องคึกคัก แต่ต้องระวังตลาดท่องเที่ยวจะวายเร็วถ้าโควิด-19 ลุกลามอีกรอบ
ดีเดย์วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นวันที่ประเทศจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศจีน ซึ่งถือได้ว่าเร็วกว่าที่คาดกันเอาไว้อย่างมากว่าเดิมทีคาดการณ์กันว่าจะเป็นช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้
ส่วนในแง่ของการเดินทางออกนอกประเทศของจีนนั้นยังคงไม่ได้เปิดเสรีเต็มรูปแบบเพราะยังมีการควบคุมดูแลอยู่ แต่อย่างไรก็ตามถ้ามองในแง่ข้อจำกัดนั้นลดลงไปมาก ทำให้คนจีนจะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศง่ายกว่าเดิมมาก และหากสถานการณ์ต่างๆ ในจีนเริ่มดีขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าทางการจีนจะอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศท่องเที่ยวต่างประเทศได้เป็นปกติในช่วงครึ่งแรกปี 2566
เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้จีนก็ได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศเมื่อเดือน พ.ย. 2565 ไปแล้ว
กรณีการเปิดตลาดท่องเที่ยวของจีนครัั้งนี้ในรอบเกือบ 3 ปี ย่อมส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลกและของไทยด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่า ประเทศไทย ย่อมต้องเป็นจุดหมายปลายทางแรกที่สำคัญของนักท่องเที่ยวชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นแบบเดินทางมาท่องเที่ยวเอง หรือแบบที่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์
หากมองในมุมบวกก็ย่อมส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภาพรวมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องได้กลับมามีชีวิตพลิกฟื้นจากความซบเซาได้ หลังจากที่เรียกได้ว่าการท่องเที่ยวของทั่วโลกและของไทยแทบจะตายไปแล้วเพราะต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 มาเกือบ 3 ปีเต็ม
ขณะที่ในมุมลบก็มีเช่นกัน เพราะขณะนี้จีนกลับมีการระบาดอย่างหนักของโควิด-19 ครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง ส่งผลต่อความหวาดกลัวของคนในประเทศเจ้าบ้าน หากนักท่องเที่ยวจีนแห่กันเข้ามาเที่ยวกันจำนวนมาก และหวั่นว่าจะมีการนำเชื้อโควิด-19 สายพันธ์ใหม่ๆ เข้ามาจะเกิดการระบาดหนักอีกครั้ง เช่นเดียวกับไทยท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ของไทยเราที่เริ่มดีขึ้นมาตามลำดับแล้ว
ทว่า ในภาพรวมแล้วคนไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวมก็หวังที่จะรอต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนให้เร็วที่สุด หลังจากที่เริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น จากยุโรป หรือเอเชีย ทยอยกันเข้ามาเที่ยวบ้างแล้วก็ตาม
ทำไมจีนจึงเป็นตลาดสำคัญของไทยในเรื่องการท่องเที่ยว หากมองย้อนอดีตดูก่อนที่จะมีโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก พบว่า จีนคือตลาดใหญ่ที่สุดของไทย ทั้งในแง่ของจำนวนนักท่องเที่้ยว และมูลค่าตลาด
ทั้งนี้ ในปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยมีรวมประมาณ 39.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก เรียงตามลำดับคือ จีน, มาเลเซีย, อินเดีย, เกาหลี และลาว
ส่วนในแง่รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติของปี 2562 ไทยมีรายได้มากกว่า 1.93 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.05% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สร้างรายได้สูงสุดให้แก่ไทย 5 อันดับแรก คือ จีน มาเลเซีย รัสเซีย ญี่ปุ่น ลาว
ในปี 2562 จีนเข้ามาเที่ยวไทยจำนวนมากเป็นอันดับ 1 คือ 10.99 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 27.63% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด และสร้างรายได้ให้ไทยมากถึง 5.43 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่ามากมายมหาศาลทีเดียว
ส่วนปี 2563-2565 ถือเป็นช่วงที่การเดินทางท่องเที่ยวไทยและทั่วโลกย่อมถือว่าอยู่ในช่วงของสถานการณ์ไม่ปกติ
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์เริ่มกลับมาดีขึ้นในปีนี้ จีนผ่อนคลายมาตรการ สามารถให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศแล้ว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวมจึงมีความหวังขึ้นมาทันที
ทางการจีนเองก็มีการประเมินเช่นกันว่า ตัวเลขผู้โดยสารคนจีนที่จะมีการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือช่วงเวลาที่ชาวจีนเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 7 มกราคม-25 กุมภาพันธ์ จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือสูงถึง 2.1 พันล้านคน คิดเป็นเที่ยวบินเฉลี่ยวันละ 11,000 เที่ยว หรือประมาณ 73% ของจำนวนเที่ยวบินทั้งหมดในช่วงก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19
โดยเฉพาะไทย ซึ่งวันที่ 9 มราคม 2566 นี้ถือเป็นวันแรกที่จะมีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางเข้ามาในไทยเที่ยวบินแรกอย่างเป็นทางการจำนวน 200 คน มาจากเมืองเซี่ยเหมิน มณฑลหูเจี้ยน ทางตอนใต้ของจีน
ขณะที่จากการประเมินวิเคราะห์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตลาดจีนจะเริ่มค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมือนตลาดอื่น เพียงแต่ว่าจะมากกว่าเท่านั้น โดยนายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาในไทยประมาณ 3 แสนคน โดยแบ่งเป็น เดือนมกราคมมาประมาณ 60,000 คน, เดือนกุมภาพันธ์ ประมาณ 90,000 คน และเดือนมีนาคมประมาณ 150,000 คน และทั้งปีคาดว่ามีจีนเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 5 ล้านคน
ทั้งนี้ นายธเนศวร์เคยกล่าวช่วงสิ้นปีที่แล้วว่า ปี 2566 ททท.ตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้บนฐาน 18 ล้านคน และถ้ารัฐบาลจีนเปิดให้ชาวจีนเดินทางระหว่างประเทศได้ คาดว่าจะสามารถไปสู่เป้าหมายกรณีดีที่สุดที่ 25 ล้านคน โดยสัญญาณจากจีนขณะนี้เป็นไปในทิศทางที่ดี เชื่อว่าจะเริ่มเปิดประเทศปลายไตรมาส 1/2566 หรือปลายเดือน มี.ค. จึงมีเวลา 9 เดือนที่นักท่องเที่ยวจีนจะมาเที่ยวไทย ซึ่งคาดว่าจะได้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีน 1.5 ล้านคนในปีหน้า จากนั้นปี 2567 เมื่อนักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาอย่างเต็มที่ ตลอดทั้งปีก็จะเกิด Great Resumption หรือการฟื้นฟู อย่างยิ่งใหญ่ของธุรกิจท่องเที่ยวไทย
ล่าสุดจีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดไว้แล้ว
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า จากกรณีที่ประเทศจีนได้ทำการเปิดประเทศวันที่ 8 มกราคม 2566 ถือได้ว่าเป็นปัจจัยบวกต่อการท่องเที่ยวของไทยในปี 2566 อย่างแน่นอน อีกทั้งจะช่วยทำให้สามารถขยับตัวเลขเป้าหมายนักท่องเที่ยวรวมจาก 20 ล้านคน เป็น 25 ล้านคนได้ด้วย ส่งผลต่อรายได้รวมของการท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปีนี้ 2.38 ล้านล้านบาท จะเบาขึ้น คือหมายถึงว่าสามารถทำได้ตามเป้าหมาย หรือสามารถจะมากกว่านั้นได้แน่นอน
"ช่วงนี้เราก็มีการพิจารณาหลายอย่าง เช่น การเพิ่มเที่ยวไฟลต์บินจากจีนมาไทยที่ค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะอยากจะให้มีการกระจายพื้นที่ท่องเที่ยวกันไป เช่น บินไปยังจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งการพิจารณาเส้นทางบินใหม่ๆ ด้วย และคาดว่าหลังจากเดือนเมษายนเป็นต้นไปจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาไทยอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ในปี 2566 นี้ทาง ททท.ได้ตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในไทยมากกว่า 5 ล้านคน ซึ่งเริ่มดีขึ้นจากปีที่แล้วที่มีเพียง 2.7 แสนคนเท่านั้นเอง แม้ว่าจะยังน้อยกว่าในอดีตคือปี 2562 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 11 ล้านคน ซึ่งก็มากถึงเกือบ 25% หรือ 1 ใน 4 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่มีประมาณ 40 ล้านคน
ทางด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า หลังจากที่จีนได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศเมื่อเดือน พ.ย. 2565 ล่าสุดจีนก็ได้ผ่อนคลายเกณฑ์การเดินทางเข้าประเทศจีนตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566 ซึ่งเร็วกว่าที่คาด ขณะที่การเดินทางออกนอกประเทศนั้น แม้ยังไม่ถึงกับเปิดเสรีเต็มรูปแบบโดยยังมีการควบคุมดูแลอยู่ แต่ชาวจีนที่จะไปเที่ยวต่างประเทศก็น่าจะสามารถเดินทางได้โดยมีอุปสรรคที่น้อยลงกว่าเดิมมาก และมีความเป็นไปได้ที่จีนจะอนุญาตให้ชาวจีนไปเที่ยวต่างประเทศได้เป็นปกติภายในครึ่งแรกปี 2566 บนเงื่อนไขที่การระบาดของโควิดระลอกนี้ไม่ลุกลามจนสร้างความกังวลต่อระบบสาธารณสุข
ภายใต้การคาดการณ์ที่ยังระมัดระวัง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยปี 2566 อาจเพิ่มกว่า 3-4 เท่าตัวจากปี 2565 หรือขยับขึ้นเป็นมากกว่า 1 ล้านคน และอาจมากกว่านี้หากเงื่อนไขต่างๆ เอื้ออำนวยมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าจีนอนุญาตให้ผู้ประกอบการกรุ๊ปทัวร์จากต่างประเทศเข้าไปทำการตลาดได้ ขณะที่ 11 เดือนแรกปี 2565 ชาวจีนเที่ยวไทยมีจำนวน 219,421 คน และน่าจะปิดปี 2565 ด้วยจำนวนกว่า 2.6 แสนคน
ทั้งนี้ ในปี 2566 ชาวจีนที่จะเดินทางมาไทยในช่วงแรกๆ น่าจะยังเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเองเป็นกลุ่มเล็กๆ และถ้าเงื่อนไขต่างๆ ลงตัวมากขึ้นคงจะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเร่งตัวขึ้น โดยจุดหมายการท่องเที่ยวที่ชาวจีนนิยมที่สุดคือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี อย่างไรก็ดี ระยะหลังนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่เริ่มสนใจท่องเที่ยวเมืองรองตามชุมชนท้องถิ่นมากขึ้น
แม้การผ่อนคลายเงื่อนไขต่างๆ ของจีนจะเป็นสัญญาณบวกต่อการฟื้นตัวของตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย แต่การกลับมาของชาวจีนเที่ยวไทยยังต้องใช้เวลากว่าจะเท่ากับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิดในปี 2562 ดังนั้น ภายใต้มุมมองที่ระมัดระวังต่อการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีน และการฟื้นตัวดีขึ้นของตลาดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่นทั่วโลกท่ามกลางทิศทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ขณะที่สำนักวิจัยเศรษฐกิจของแบงก์พาณิชย์ อย่าง Krungthai COMPASS ประเมินการท่องเที่ยวไทยหลังโควิดว่าจะทยอยฟื้นตัว คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2566 ประมาณ 21.4 ล้านคน และปี 2567 ประมาณ 34.7 ล้านคน มีมูลค่าการตลาดการท่องเที่ยวในภาพรวมในปี 2566 และปี 2567 ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท และ 2.4 ล้านล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็น 58-87% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนโควิดระบาด
ทั้งนี้ ในปี 2565 มีจำนวนผู้โดยสารเดินทางผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกว่า 22 ล้านคน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยประมาณ 6 ล้านคน และมีค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อคนตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อ 1 คนจะอยู่ที่ประมาณคนละ 48,000 บาท และการใช้จ่ายดังกล่าวจะก่อให้เกิดเม็ดเงินที่เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศสูงถึง 326,000 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 565,450 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งจะทำให้เกิดผลประโยชน์ทวีคูณทางเศรษฐกิจถึง 1.34 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมของความปลอดภัยด้านสาธารณสุข ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการในการป้องกันและรับมือโควิด-19 ที่อาจจะกลับมาลุกลามจากการติดมากับนักท่องเที่ยวต่างๆ โดยเฉพาะชาวจีน
หลายประเทศก็มีมาตรการหลายอย่างป้องกันประเทศตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ อิตาลี อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา เกาหลีใต้ สเปน กาตาร์ เป็นส่วนหนึ่งของหลายประเทศทั่วโลกที่ประกาศมาตรการให้ผู้เดินทางจากจีนต้องแสดงผลตรวจโควิดแบบ PCR ที่เป็นลบก่อนเข้าประเทศ
ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศ รัฐบาลจีนกำหนดมาตรการ ได้แก่ ตรวจ Nucleic Acid หรือ RT-PCR ก่อนขึ้นเครื่อง 48 ชั่วโมง, ยกเลิกการยื่นขอ Health Code, เริ่มรับทำหนังสือเดินทางให้แก่ประชาชนจีน, กรอกผลตรวจลงใบคัดกรองสุขภาพของ ตม.เหมือนเดิม, ยกเลิกมาตรการกักตัวกับมาตรการตรวจ Nucleic Acid หรือ RT-PCR หลังจากเข้าประเทศจีน และยังยกเลิกนโยบาย 5-1 แต่ต้องสวมหน้ากากอนามัยบนเครื่องบินตลอดเวลา, อนุญาตให้ผู้เดินทางไปทำงาน ทำธุรกิจ ศึกษา เยี่ยมญาติ ขอวีซ่าแต่ละประเภทเพื่อที่จะเดินทางเข้าประเทศจีนได้, อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศจีนได้ทั้งทางบก และทางเรือ เป็นต้น
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทในความพยายามในการสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนคนไทยในเรื่องของมาตรการที่นำมารับมือและป้องกันต่างๆ
ที่ผ่านมาก็มีการเตรียมรับนักท่องเที่ยว มีการประชุมไม่ว่าจะเป็นระดับคณะรัฐมนตรี และในระดับปฏิบัติการโดยตรงหลายครั้ง มีการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงการประชุมของคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558
ทั้งนี้ มาตรการที่ใช้นั้นจะไม่มีความพิเศษแตกต่างไปจากที่ทำกับนักท่องเที่ยวประเทศอื่น เพื่อสร้างความเท่าเทียม ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง และปฏิบัติต่อผู้เดินทางจากทุกประเทศอย่างเท่าเทียม ไม่ใช้มาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อกีดกันผู้เดินทางจากประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยมีมาตรการป้องกันควบคุมโรคตามหลักวิชาการและเป็นไปตามมาตรฐานโลกอยู่แล้ว
สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ก็คือ ระบบสาธารณสุขของไทยยังมีความพร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ขณะนี้มีการใช้เตียงระดับ 2-3 เพียง 5.2% และมีแผนเตรียมความพร้อมหากพบการระบาดของโรคที่รุนแรงเพิ่มขึ้น
อีกทั้งยังมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดด้วยการประเมินสถานการณ์เป็นระยะ เพื่อปรับมาตรการตามสถานการณ์ของเชื้อกลายพันธุ์
ส่วนข้อเสนอมาตรการด้านสาธารณสุขรองรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ที่มีการนำเสนอในวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา คือ ก่อนเข้าประเทศไทยให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 2 เข็ม หากมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ควรเลื่อนการเดินทางและรักษาให้หายก่อนเพื่อลดการแพร่โรค และให้ซื้อประกันสุขภาพเดินทางที่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 ก่อนเข้าประเทศ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น
ส่วนมาตรการขณะพำนักในประเทศไทย จะมีการให้คำแนะนำผู้เดินทางป้องกันตนเองตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศ เช่น สวมหน้ากากเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ/ขนส่งสาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ หากมีอาการทางเดินหายใจ ให้ตรวจคัดกรองด้วย ATK และหากมีอาการป่วยรุนแรงขึ้นให้ไปตรวจรักษาที่สถานพยาบาล กรณีเดินทางออกจากประเทศไทยและประเทศปลายทางมีนโยบายตรวจคัดกรองก่อนเข้าประเทศ แนะนำให้พักในโรงแรม SHA+ ซึ่งจะมีบริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานทางห้องปฏิบัติการจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก่อนออกจากประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการเฝ้าระวังโรคกลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศที่มีอาการทางเดินหายใจ โดยให้ได้รับการตรวจด้วย ATK/PCR และมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์โรคและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินกรณีผู้เดินทางจากต่างประเทศ พร้อมทั้งเพิ่มกลไกการรายงานสถานการณ์ผ่านเว็บไซต์กรมควบคุมโรค เน้นจำนวนนักท่องเที่ยวและผลการตรวจคัดกรองผู้ที่มีอาการป่วยทางเดินหายใจที่สนามบิน กำหนดเกณฑ์สำหรับการปรับมาตรการเมื่อพบผู้ติดเชื้อในอัตราสูงหรือพบเชื้อกลายพันธุ์ รวมถึงเฝ้าระวังและตรวจเชื้อโควิด-19 ในน้ำเสียจากเครื่องบิน ทั้งนี้ จะมีการสื่อสารถึงนักเดินทางเพื่อเพิ่มการตระหนักรู้และให้ความร่วมมือในการลดความเสี่ยง
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยกำลังจะพลิกฟื้นขึ้น โดยเฉพาะตลาดชาวจีน จะเป็นสัญญาณและตลาดสำคัญที่จะปลุกชีพท่องเที่ยวไทยได้
ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังเรื่องการระบาดของโควิด-19 ที่อาจจะกลับมาลุกลามอีกรอบด้วย