บอร์ด ปตท.นัดถกจัดสรร 6,000 ล้านบาทอุ้มค่าไฟตามมติ กพช.วันพรุงนี้ (27 ธ.ค.) “อรรถพล” ลั่นมีแนวทางช่วยเหลือหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปตัวเงิน และไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานบริษัทฯ ด้วย พร้อมอัดงบลงทุนกลุ่ม ปตท.ในปี 66 อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (27 ธันวาคม) ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จะพิจารณาจากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ที่ขอความร่วมมือจาก ปตท.จัดสรรรายได้จากการดำเนินธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อเดือน ระยะเวลา 4 เดือน (ตั้งแต่ ม.ค.-เม.ย. 66) รวม 6,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือนนั้น แนวทางการช่วยเหลือมีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปตัวเงิน แต่เป็นการบริหารจัดการให้ต้นทุนส่วนนี้ลดลงไปให้ได้ เพื่อนำส่วนนั้นมาช่วยเหลือ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ ปตท.ด้วย
ส่วนแนวทางการช่วยเหลือราคาพลังงานในอนาคต การดำเนินงานของ ปตท.จะดูแลช่วยเหลืออยู่ และสร้างสมดุลระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ถือหุ้น และประชาชนที่ถือว่าเป็นลูกค้าสำคัญของ ปตท. โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อองค์กร รวมถึงผลการดำเนินงานบริษัท
นายอรรถพลกล่าวต่อไปว่า สำหรับทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบในปีหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 85-95 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงต่ำกว่าราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบปีนี้ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 96 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกปีหน้าที่เติบโตไม่มากนัก และเหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนก็อาจไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกเหมือนช่วงแรกที่เกิดสงคราม ทำให้แนวโน้มราคาพลังงานอ่อนตัวลงจากปี 2565
สำหรับแผนลงทุนของกลุ่ม ปตท.ในปี 2566 รวมจำนวน 200,292 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อความมั่นคงพลังงาน ขณะที่สัดส่วนลงทุนในธุรกิจใหม่มีไม่ถึง 10% แต่ถ้ามีโครงการที่ดีและต่อยอดได้ก็พร้อมจะลงทุนโดยใช้งบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) โดยปีหน้า ปตท.จะลงทุนโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 7 โรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 8, โครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกง-โรงไฟฟ้าพระนครใต้ และโครงการท่อส่งก๊าซฯ บนบกเส้นที่ 5, โครงการลงทุนโรงงานผลิตรถอีวี, โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3
ส่วนบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP จะเน้นการผลิตก๊าซฯ ในอ่าวไทยตามแผน โดยเฉพาะแปลง G1/61 (เอราวัณ) เพื่อให้เป็นไปตามเป้าที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันภายในเดือน เม.ย. 2567 จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เน้นเรื่องการปรับปรุงและขยายสถานีบริการน้ำมัน กลุ่มโรงกลั่น ทั้งบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขณะที่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC จะเน้นการลงทุนในธุรกิจ High Value Business (HVB) มากขึ้น และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จะเน้นการลงทุนพลังงานทดแทนมากขึ้น
