xs
xsm
sm
md
lg

ก.อุตฯ เร่งเปลี่ยนผ่านยานยนต์สู่ "อีวี" ควบคู่ใช้ยูโร 6 ให้เร็วขึ้นสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าควบคู่ไปกับผลักดันการใช้มาตรฐานยูโร 6 ในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เร็วขึ้น สอดรับกับเทรนด์ตลาดโลก ก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) ชี้หากประเทศไทยไม่เร่งปรับตัวอย่างจริงจังอาจสูญเสียโอกาสในการเป็นฐานการผลิต 10 อันดับแรกในตลาดโลกและอันดับ 1 ในอาเซียนได้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ควบคู่ไปกับผลักดันยานยนต์ที่มีมาตรฐานการปล่อยมลพิษตามมาตรฐานยูโร 6 (EURO 6) ให้เร็วขึ้น เพื่อยกระดับการส่งออกและการผลิตตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด ซึ่งประเทศชั้นนำส่วนใหญ่ในตลาดโลกได้ปรับตัวใช้มาตรฐานยูโร 6 แล้ว เช่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และจีน เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ตลาดโลก และเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษ รวมถึงฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น ลดอัตราการเจ็บป่วย ก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ตลอดจนเป็นการผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเจตนารมณ์ที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อน รวมทั้งสอดรับกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยภายใต้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) ที่มุ่งเน้นยกระดับศักยภาพการผลิตให้เป็นมาตรฐานสากลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นจากการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน และเชื่อมโยงประเทศไทยเข้าเป็นห่วงโซ่อุปทานการผลิตโลกได้อย่างยั่งยืน

“หากไทยไม่เร่งปรับตัวอย่างจริงจังอาจสูญเสียโอกาสในการเป็นฐานการผลิต 10 อันดับแรกในตลาดโลก และอันดับ 1 ในอาเซียนได้ ดังเช่นเวียดนามที่มีการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า VINFAST รวมทั้งประกาศใช้มาตรฐานยูโร 5 ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อเอื้อให้เกิดการลงทุนในประเทศ และพยายามแย่งชิงโอกาสในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ในภูมิภาค และระยะยาวอาจเกิดการย้ายฐานการผลิตยานยนต์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ประมาณ 650,000 คน” นายสุริยะกล่าว


นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ไทยในฐานะที่เป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาค จำเป็นต้องผลักดันนโยบายเพื่อดึงดูดบริษัทชั้นนำในการผลิตรถยนต์ระดับโลกเข้ามาลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ดังเช่นการผลักดันมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งจากค่ายรถยนต์สัญชาติยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน คาดว่าจากนี้ไปอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท และสร้างความต้องการแรงงานยานยนต์สมัยใหม่ประมาณ 30,000 คนต่อปี ภายในปี 2573 และยังต่อยอดให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่ไฟฟ้า อุปกรณ์และส่วนประกอบ ฯลฯ

“รถยนต์มาตรฐานยูโร 6 มีการผลิตเพื่อใช้ในประเทศ และส่งออกประมาณ 40,000 คัน/ปี และในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Battery Electric Vehicle (BEV) ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เป็นหลัก คาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมียอดการใช้รถ BEV เพิ่มขึ้นกว่า 50,000 คัน ซึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล เอกชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง” นางวรวรรณกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น