บริษัทตั้งใหม่เดือน พ.ย. 65 มีจำนวน 5,773 ราย เพิ่มขึ้น 2% หลังคนมั่นใจเศรษฐกิจฟื้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินตามปกติ การท่องเที่ยวเติบโต ส่วนยอดเลิก 2,684 ราย ลด 7% รวม 11 เดือน ตั้งใหม่ 72,480 ราย เลิก 16,096 ราย คาดทั้งปี 65 ตั้งบริษัทใหม่โตเกินเป้า ทะลุ 76,000 ราย
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือน พ.ย. 2565 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศจำนวน 5,773 ราย เทียบกับ ต.ค. 2565 ลดลง 2% และเทียบกับ พ.ย. 2564 เพิ่มขึ้น 2% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 20,069.48 ล้านบาท และประเภทธุรกิจที่จัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ที่ติดอันดับ 3 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการเปิดประเทศ
ส่วนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 2,684 ราย เมื่อเทียบกับ ต.ค. 2565 เพิ่มขึ้น 36% เทียบกับ พ.ย. 2564 ลดลง 7% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกจำนวน 9,417.60 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร
ทั้งนี้ ยอดรวมการจดทะเบียนตั้งใหม่ 11 เดือนปี 2565 (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวน 72,480 ราย เพิ่มขึ้น 4.66% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 408,613.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.19% และยอดเลิกกิจการ รวม 16,096 ราย เพิ่มขึ้น 18.21% มีมูลค่าทุนจดทะเบียน จำนวน 104,978.64 ล้านบาท ลดลง 71.01%
นายทศพลกล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการจัดตั้งบริษัทใหม่เพิ่มขึ้นมาจากเศรษฐกิจไทยมีทิศทางดีขึ้น เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น การท่องเที่ยวในช่วงปลายปี มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น ประกอบกับการใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย จึงส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกรมฯ คาดว่ายอดจดทะเบียนตั้งใหม่ทั้งปี 2565 จะสูงถึง 76,000 ราย เกินไปกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 68,000-72,000 ราย
ปัจจุบันมีธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศทั้งสิ้น (ณ วันที่ 30 พ.ย. 2565) จำนวน 852,395 ราย มูลค่าทุน 20.73 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 201,446 ราย คิดเป็น 23.63% บริษัทจำกัด จำนวน 649,570 ราย คิดเป็น 76.21% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,379 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ