กรอ.พาณิชย์ถกแผนรับมือเศรษฐกิจปีหน้าชะลอตัว สั่งตั้งวอร์รูม เกาะติดและทำงานใกล้ชิดรัฐและเอกชน เบื้องต้นเตรียมลุยเจาะ 3 ตลาดใหญ่ “ตะวันออกกลาง-เอเชียใต้-CLMV” ดันเพิ่มยอดส่งออกไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท พร้อมรุกทำ Mini FTA กับเมืองหรือเขตเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ ลาฮอร์ของปากีสถาน และเมืองในอ่าวอาหรับ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ว่า การประชุมในครั้งนี้เพื่อเตรียมการส่งออกปี 2566 รองรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าปี 2566 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวลดลงเหลือ 2.7% จากปี 2565 ขยายตัว 3.2% และยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออก ทั้งความยืดเยื้อของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กระทบต่อราคาพลังงานและความมั่นคงทางอาหารของโลก นโยบายซีโร่โควิดของจีน ที่เป็นคู่ค้าลำดับหนึ่ง และเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 2 ของไทย และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่มีผลกระทบต่อต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบ
“จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวลง และปัญหายืดเยื้อที่ค้างคาจากปี 2564-65 ที่ประชุมจึงได้มีมติให้ตั้งวอร์รูมขึ้น เป็นวอร์รูม กรอ.พาณิชย์ ที่ประกอบด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชนทั้งหมด เพื่อทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดตลอดปี 2566 เพื่อให้การส่งออกปีหน้าตัวเลขยังคงดีที่สุดเท่าที่จะจับมือกันระหว่างภาครัฐกับเอกชนของไทยเดินหน้าด้วยกัน” นายจุรินทร์กล่าว
นายจุรินทร์กล่าวว่า แนวทางการดำเนินการ ได้ตั้งเป้าบุกตลาดที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มยอดการส่งออกจากมาตรการปกติที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นกรณีเฉพาะ โดยจะบุก 3 ตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย ตลาดตะวันออกกลาง ตลาดเอเชียใต้ และตลาด CLMV โดย 3 ตลาดใหญ่นี้ปี 2565 คาดมียอดการส่งออกรวมประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท และปี 2566 จะเพิ่มเป็น 2 ล้านล้านบาท เพิ่มอีก 300,000 ล้านบาท
โดยตลาดตะวันออกกลางจะมุ่ง 3 ตลาดหลัก คือ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ สินค้าเป้าหมายสำคัญ คือ อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องปรับอากาศและวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ตั้งเป้าปี 2566 เพิ่มตัวเลขส่งออก 3 ประเทศนี้ 20% จาก 8,900 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 เป็น 10,300 ล้านเหรียญในปี 2566 หรือประมาณ 350,000 ล้านบาท
ตลาดเอเชียใต้ เน้นประเทศสำคัญ 3 ประเทศ คือ อินเดีย บังกลาเทศ และเนปาล ตั้งเป้าส่งออกปี 2566 ใน 3 ประเทศ เพิ่มขึ้น 10% เพิ่มจากปีนี้ที่ 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มเป็น 13,200 ล้านเหรียญ ในปี 2566 หรือประมาณ 450,000 ล้านบาท สินค้าสำคัญ เช่น เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น
ตลาด CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ตั้งเป้า เพิ่ม 10-15% จาก 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 เป็น 33,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2566 หรือประมาณ 1.14 ล้านล้านบาท สินค้าเป้าหมายสำคัญ เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เม็ดพลาสติก สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และยังจะเร่งรัดการค้าชายแดน เช่น อาหาร ผลไม้ ผักและสินค้าอื่นๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบการนำคณะไปเยือนต่างประเทศที่เป็นประเทศสำคัญ คือ 1. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะเป็นประตูสำคัญอีกประตูหนึ่ง นอกจากซาอุดีอาระเบีย ที่จะใช้ส่งสินค้าไปกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 2. อินเดีย โดยเฉพาะรัฐคุชราต มีเมืองอาห์เมดาบัด ที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอินเดีย มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 3. มณฑลยูนนาน ซึ่งไทยต้องเร่งรัดทำ Mini FTA เป็นที่ตั้งของด่านสำคัญของจีน คือด่านโม่ฮาน ขณะนี้รัฐบาลจีนเห็นชอบเปิดด่านได้แล้ว อาจมีปัญหาอุปสรรคในภาคปฏิบัติ จะเป็นโอกาสเจรจาร่วมกับมณฑลอำนวยความสะดวกการส่งออกสินค้าไทยไปจีนผ่านมณฑลยูนนานคล่องตัวขึ้น
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมเห็นว่านอกจากแผนงาน FTA ที่กำลังเดินหน้า และรอการทำกับอังกฤษ ก็ควรจะมุ่งทำ Mini FTA กับเมืองหรือเขตเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษเป็นการเร่งด่วนต่อไปด้วย รวมถึงทำ Mini FTA กับปากีสถาน โดยเฉพาะเมืองลาฮอร์ ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญของปากีสถาน และสุดท้ายกลุ่มอ่าวอาหรับ หรือ GCC ถ้ารอทำ FTA จะใช้เวลา ถ้าสามารถทำ Mini FTA ได้ก่อน จะช่วยตัวเลขการส่งออกได้เร็วขึ้น