ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง โชว์ผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 3/2565 โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 863 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 755 ล้านบาท หรือร้อยละ 699 มีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 3,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 1,585 ล้านบาท หรือร้อยละ 73.6 โดยรายได้ค่าผ่านทางเพิ่มขึ้นจำนวน 868 ล้านบาท รายได้ค่าโดยสารและรับจ้างเดินรถเพิ่มขึ้นจำนวน 651 ล้านบาท และรายได้พัฒนาเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นจำนวน 66 ล้านบาทจากปัจจัยบวกหลังการเปิดประเทศที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการกลับมาทำงานของภาคธุรกิจ การกลับมาเรียน on site ของสถาบันการศึกษา และยอดนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตัวเลขกำไร 863 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปีนี้เป็นตัวเลข New High นับตั้งแต่ปี 2563 ที่มีการระบาดของโควิด
ดร.สมบัติกล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลให้ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 1,069,102 เที่ยวต่อวัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 59.7 และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินปริมาณผู้โดยสารในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 312,663 เที่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 292.4 โดยมั่นใจว่าการฟื้นตัวครั้งนี้เป็นแบบ V Shape แน่นอน
ดร.สมบัติกล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2565 ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 เพื่อพิจารณาเข้าทำสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และพิจารณาการเข้าทำสัญญาว่าจ้าง บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารและก่อสร้างงานโยธา (ช่วงตะวันตก) และผู้ออกแบบ จัดหา ติดตั้ง ทดสอบอุปกรณ์งานระบบ และทดลองเดินทางรถไฟฟ้า (ช่วงตะวันออกและตะวันตก) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
ทั้งนี้ การลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจะทำให้บริษัทเพิ่มความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และขยายโครงการเครือข่ายของระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าที่บริษัทบริหารอยู่ในปัจจุบันให้ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการที่มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มจำนวนผู้โดยสารและรายได้ของโครงการรถไฟฟ้าภายใต้สัมปทานของบริษัท BEM มีความพร้อมที่จะเข้าดำเนินงานได้ทันทีหลังจากลงนามสัญญา และมั่นใจว่าจะเปิดให้บริการส่วนตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรมฯ-สุวินทวงศ์) ได้ภายใน 3 ปีครึ่ง และส่วนตะวันตก (ศูนย์วัฒนธรรมฯ-บางขุนนนท์) ได้ภายใน 6 ปีตามแผนงานของ รฟม. ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดเด่นของ BEM ที่ทำงานทุกโครงการประสบความสำเร็จ เปิดบริการได้ตามสัญญาเป็นไปตามแผนหรือก่อนแผนเสมอ