“ศักดิ์สยาม” เปิดรถเมล์ไฟฟ้า สาย 44 (2-42) เคหะคลองจั่น-ท่าเตียน และสาย 3-53 (เส้นทางใหม่) สถานีรถไฟฟ้าหัวหมาก-เสาชิงช้า เผยผลตอบรับดี ใน ต.ค.นี้เปิดเพิ่มอีก 4 เส้นทาง สิ้นปี 65 มีรถ 1,250 คันวิ่ง 122 เส้นทางปฏิรูปใหม่ ด้าน "ไทย สมายล์ บัส" ยืดโปรฯ บัตรคนจนจ่าย 10 บาท อีก 3 เดือน ถึง มี.ค. 66
วันที่ 12 ต.ค. 2565 ณ ไทย สมายล์ บัส สาขารามคำแหง 74 (อู่รามคำแหง 74) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีทดลองเปิดให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle หรือ รถ EV) สาย 44 (2-42) เคหะคลองจั่น-ท่าเตียน และสาย 3-53 (เส้นทางใหม่) สถานีรถไฟฟ้าหัวหมาก-เสาชิงช้า โดยมีนางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม และนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมงาน โดยมี นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด คณะผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากที่เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2565 ได้มีการเปิดให้บริการรถโดยสารประจำทางด้วยพลังงานไฟฟ้า สาย 8 เส้นทางแฮปปี้แลนด์-ท่าเรือสะพานพุทธ เป็นสายแรก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชน โดยจากสถิติการเดินทางถึงปัจจุบันพบว่ามีผู้นิยมใช้บริการที่ค่าเฉลี่ยมากกว่า 7,000 คนต่อวัน และครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 ได้เปิดให้บริการรถโดยสาร EV สาย 17 พระประแดง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสาย 82 ท่าน้ำพระประแดง-บางลำพู ซึ่งทั้งสาย 17 และ 82 ต่างก็มีจุดต่อเชื่อมไปยังระบบสาธารณะอื่นๆ อันจะทำให้ภาพของโครงข่ายการขนส่ง รถ - เรือ - ราง ที่ถือเป็นนโยบายอันสำคัญยิ่งของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมสมบูรณ์มากขึ้น
ในวันนี้ เป็นการเปิดทดลองเดินรถเมล์ไฟฟ้าครั้งที่สาม สาย 44 (2-42) เคหะคลองจั่น-ท่าเตียน และสาย 3-53 สถานีรถไฟฟ้าหัวหมาก-เสาชิงช้า ซึ่งเป็นเส้นทางใหม่ โดยกระทรวงคมนาคมได้มองภาพที่ไกลไปกว่าเฉพาะการขนส่ง การต่อเชื่อมระหว่างการขนส่งรูปแบบต่างๆ แต่มองไปถึงแนวทางในการดำเนินงานด้านการขนส่งที่จะช่วยส่งเสริมการทำงานส่วนอื่นๆ ของประเทศได้ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวอันถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทย ซึ่งล่าสุดกรุงเทพมหานครได้ถูกจัดอันดับโดยมาสเตอร์การ์ดให้เป็นเมืองที่มีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกถึง 22 ล้านคน ในปี 2565 สำหรับเส้นทางรถโดยสารสาย 3-53 เป็นเส้นทางที่ผ่านจุดสำคัญ ทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติที่เป็นแขกของประเทศ
ทั้งนี้ ภายในเดือน ต.ค. 2565 มีสายรถโดยสาร EV ที่จะเปิดเดินรถเพิ่มจำนวน 4 เส้นทาง คือ สาย 1-39 (71) สวนสยาม-คลองเตย สาย 1-52 (197) วงกลมมีนบุรี-ถนนคู้บอน-ถนนหทัยราษฎร์ สาย 4-28 (529) แสมดำ-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสาย 4-45 (81) พุทธมณฑลสาย 5-ท่าราชวรดิฐ โดยจะนำรถเข้าบรรจุเพิ่มประมาณ 50 คัน และภายใต้การเร่งรัดการดำเนินการในปีนี้จะมีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเป็น 972 คัน ใน 77 เส้นทาง จากการผลักดันนโยบายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 ปลายปีนี้พี่น้องประชาชนจะสามารถใช้บริการเครือข่ายรถเมล์พลังงานสะอาดกว่า 1,250 คัน ใน 122 เส้นทางที่ปฏิรูปใหม่ ซึ่งได้มีการวางแผนเชื่อมต่อระบบล้อ-ราง-เรือ อย่างครบวงจร
นอกจากนี้ ได้ขอความอนุเคราะห์จากบริษัทฯ ในการขยายเวลาเก็บค่าโดยสาร 10 บาท สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) เพิ่มอีก 3 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งทางบริษัทฯ ยินดีจะดำเนินการเพื่อช่วยหลือสนับสนุนลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้พี่น้องประชาชน รวมถึงบริษัทฯ เร่งรัดการจัดทำแอปพลิเคชัน ที่สามารถติดตามรถโดยสารด้วยระบบจีพีเอส (GPS) และเชื่อมข้อมูลจาก E-Ticket พร้อมทั้งบอกจำนวนผู้โดยสารบนรถ และจำนวนที่นั่งว่างบนรถได้ ทำให้ผู้โดยสารสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมทั้งได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ประสานงานกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในการจัดรถเสริมในเส้นทางที่บริษัทฯ ยังบรรจุรถไม่เต็มศักยภาพ เพื่อให้พี่น้องประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวกและไม่ต้องรอใช้บริการนาน แต่ขอให้ดูเรื่องระเบียบและข้อกฎหมายให้ถูกต้องด้วย
สำหรับการให้บริการรถเมล์ไฟฟ้านี้จะต้องตั้งอยู่บนหลักการที่กระทรวงคมนาคมมอบนโยบายไว้ ได้แก่
“ความสะดวก” โดยรถที่ให้บริการจะมีการต่อเชื่อมกับรูปแบบการขนส่งอื่นๆ ทั้งทางเรือ และราง
“ความสบาย” ซึ่งรถที่ให้บริการเป็นรถปรับอากาศ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ดี
“ความสะอาด” โดยรถเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า อันเป็นพลังงานสะอาด ลดการปล่อยมลพิษ
“ความประหยัด” ซึ่งบริษัทฯ ได้ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่มีรายได้น้อย ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยการเก็บค่าโดยสาร 10 บาท ตลอดสาย จนถึงสิ้นปี 2565 นอกจากนี้ ในอนาคตบริษัทฯ ยังได้พิจารณาแนวทางว่าหากมีการเดินทางครบ 40 บาท ในหนึ่งวัน จะไม่จัดเก็บค่าโดยสารเพิ่มสำหรับการใช้บริการหลังจากนั้น
“ความปลอดภัย” ซึ่งนอกจากความปลอดภัยในด้านการกำกับดูแลตัวรถแล้ว รถที่ให้บริการยังได้มีการติดตั้ง CCTV เพื่อเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารอีกด้วย