xs
xsm
sm
md
lg

จับตา! ทิศทางกลุ่ม ปตท.มุ่งสู่ 3 แนวทางการเติบโต สร้างประโยชน์ต่อธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับการประกาศทิศทางร่วมกันของกลุ่ม ปตท. ในงาน PTT Group CEO Town Hall 2022 โดยมีการปรับแผนงานให้สอดรับกับวิสัยทัศน์ “Powering Life with Future Energy and Beyond” ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต มุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวเพื่อการเติบโตใน 3 แนวทางการเติบโต ประกอบไปด้วย Business Growth, New Growth และ Clean Growth พร้อมร่วมผนึกกำลังของกลุ่ม ปตท.สร้างสังคมคาร์บอนต่ำ นำพาองค์กรและประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero

ภายในงานดังกล่าว นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นำทีมผู้บริหารระดับ CEO ของกลุ่ม ปตท.ฉายภาพถึงทิศทางของกลุ่มธุรกิจที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายระยะยาวร่วมกัน เริ่มต้นจากการอธิบายให้เห็นถึงทิศทางแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงและกระแสของโลกในอนาคต กลุ่ม ปตท.ได้มีการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจและการลงทุน โดยมุ่งเน้นการเติบโตในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต และนอกธุรกิจพลังงาน ภายใต้วิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจใหม่ที่กว้างไกลกว่าพลังงาน


ต้องยอมรับว่าเวลานี้บริษัทพลังงานทั่วโลกได้ปรับตัวเพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตจากธุรกิจใหม่อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการปรับการลงทุนไปสู่พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) รวมถึงการแสวงหาโอกาสใหม่ โดยปรับไปสู่ธุรกิจ Non-Hydrocarbon

สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ จากกระแสโลกดังกล่าวมา กลุ่ม ปตท.เองก็ได้มีการกำหนดทิศทาง และแผนดำเนินการในระยะต่างๆ ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Future Energy & Beyond ทั้งในแผนระยะกลาง ช่วง 5 ปีแรกจะมีสัดส่วนประมาณ 20% ของเงินลงทุนทั้งหมด และในระยะยาว 10 ปีจะมีสัดส่วนสูงกว่า 30%


ในส่วนของ Future Energy กลุ่ม ปตท.มุ่งไปที่การลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และขยายธุรกิจ EV แบบครบวงจร ขณะเดียวกันก็ลงทุนพัฒนาระบบ Energy Storage & Smart Energy Platform รวมทั้งศึกษาโอกาสการพัฒนาธุรกิจ Hydrogen

ในด้านของ Beyond หรือธุรกิจใหม่ที่นอกเหนือไปจากเรื่องพลังงาน จะมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจที่เป็นเทรนด์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Life Science, Pharmaceutical, Nutrition, Medical Device & Technology, Mobility & Lifestyle, High Value Business, Logistic & Infrastructure AI, Robotics & Digitalization








ทั้งนี้ อนาคตของกลุ่ม ปตท.เน้นการลงทุนในต่างประเทศมากกว่า 50% ดังนั้น การเตรียมความพร้อมขององค์กร ทั้งบุคลากร และกระบวนการทำงานต่างๆ จึงมีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อให้สามารถรองรับรูปแบบธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงไป โดยเป้าหมายสูงสุดที่ต้องการให้เกิดขึ้นในปี 2030 หรือระยะ 10 ปีข้างหน้า คือสร้างการเติบโต 3 GROWTH ซึ่งประกอบไปด้วย


1. BUSINESS GROWTH ขยายธุรกิจพลังงานที่มีแนวโน้มเติบโตรองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ได้แก่ ขยายธุรกิจ LNG ธุรกิจไฟฟ้า รวมถึงการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน

2. NEW GROWTH เสริมสร้างความแข็งแกร่งโดยสร้างความร่วมมือภายใต้กลุ่ม ปตท. สร้างการเติบโตในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงาน เช่น Renewable Energy, EV Value Chain, Energy Storage, Hydrogen, Life Science, Mobility & Lifestyle, High-Value Business, Infrastructure & Logistics และ Ai, Robotics & Digitalization โดยให้มีสัดส่วนกำไรสุทธิ 30% ในปี 2030

3. CLEAN GROWTH ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งกลุ่ม ปตท. ลงที่เป้าหมาย 15% ในปี 2030 เทียบจาก 10 ปีก่อนหน้าในปี 2020 นอกจากนี้ เพื่อมุ่งสู่การขับเคลื่อนสู่ Net Zero ทุกบริษัทในกลุ่ม ปตท.ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและครบถ้วนแล้ว พร้อมตั้งเป้าหมายเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศที่วางไว้เพื่อมุ่งสู่ Carbon Neutrality ในปี 2050 และ Net Zero Emissions ในปี 2065

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการเติบโตทางธุรกิจและทิศทางดำเนินงานที่กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงได้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว นั่นก็คือ การร่วมเป็นพลังช่วยเหลือสังคมที่เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของกลุ่ม ปตท.เสมอมา สมดังเจตนารมณ์ “สร้างพลังขับเคลื่อนทุกชีวิต ช่วยเหลือประชาชนในทุกมิติ”


ทั้งการดูแลและช่วยเหลือด้านราคาพลังงานที่กลุ่ม ปตท.ได้ร่วมแบ่งเบาภาระต้นทุนค่าครองชีพด้านพลังงานกว่า 17,800 ล้านบาท เช่น การสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกรณีพิเศษ, การให้ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่ผู้มีรายได้น้อยที่เป็นร้านค้าหาบเร่ แผงลอยอาหาร ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, การตรึงราคาขายปลีกช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้รถ NGV ส่วนบุคคล และผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถแท็กซี่ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล, การจัดหาน้ำมันดิบ เพื่อเพิ่มปริมาณสำรอง, การบรรเทาภาระต้นทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีก ฯลฯ

ขณะที่ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดในวงกว้างที่ผ่านมา กลุ่ม ปตท.ได้ร่วมกันจัดตั้ง “โครงการลมหายใจเดียวกัน” เพื่อให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์โควิด-19 และบรรเทาผลกระทบ ทั้งการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม หน่วยตรวจ-รักษาครบวงจร (End-to-End) จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องช่วยหายใจ แอลกอฮอล์ ให้กับสถานพยาบาล การมอบถุงยังชีพ เครื่องอุปโภค-บริโภคที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยและผู้มีความเสี่ยง จัดหาและพัฒนาวัคซีน นอกจากนี้ยังมีการต่อยอดไปสู่ “โครงการลมหายใจเพื่อน้อง” ช่วยเหลือเยาวชนกว่า 60,000 คน ที่เสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษา ให้มีโอกาสกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้อีกครั้ง

สุดท้ายแล้ว ต้องยอมรับว่าท่ามกลางเส้นทางสายธุรกิจกลุ่ม ปตท.ยังคงไม่หลงลืมที่จะใส่ใจและห่วงใยในสังคมให้เติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งมิติของธุรกิจ และมิติของสังคม รวมถึงสิ่งแวดล้อม ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่องค์กรแห่งนี้ให้ความสำคัญเสมอมา ตามวิสัยทัศน์ ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น