ปตท.เร่งลงทุนสู่ธุรกิจใหม่และพลังงานอนาคต พร้อมวางเป้าสู่ Net Zero ในปี ค.ศ. 2050 คาดปี 2566 ทิศทางราคาพลังงานปรับลง คาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 85-95 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงลดลงกว่าปีนี้
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา Thailand Economic Outlook 2023 ว่า ภาคธุรกิจพลังงานเผชิญความท้าทายที่ต้องสร้างความสมดุลทั้งความมั่นคงด้านพลังงาน และผลกระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยพลังงานจากฟอสซิลไม่ว่าจะเป็นถ่านหินที่เลยจุดสูงสุด (พีก) ไปแล้ว ส่วนน้ำมันก็เข้าสู่จุดสูงสุดใน 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2575) ก็จะเริ่มลง มีเพียงก๊าซธรรมชาติถือเป็นฟอสซิลที่ยังมีอนาคต มีการใช้ในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงานจากฟอสซิลสู่พลังงานสะอาดหรือพลังงานอนาคต ทำให้ในปี 2564 มูลค่าการลงทุนในการเปลี่ยนแปลงพลังงานทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 27% แตะอยู่ที่ 755 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่แนวโน้มราคาพลังงานโลกในปี 2566 จะปรับลดลงต่ำกว่าปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 85-95 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนก๊าซธรรมชาติราคาน่าจะปรับลงเช่นกัน ส่งผลให้ราคาพลังงานมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงน้อยลงเมื่อเทียบกับปี 2565
นายอรรถพลกล่าวว่า ปตท.กำหนดวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยการมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานอนาคต (Powering Life with Future and Beyond) วางเป้าหมายในปี 2573 ปตท.จะมีกำไร 30% มาจากธุรกิจใหม่และพลังงานอนาคต โดยวางงบลงทุนราว 30% ในธุรกิจ Future Energy & Beyond ซึ่งพลังงานในอนาคต (Future Energy) ทาง ปตท.จะเน้นลงทุนพลังงานหมุนเวียน (Renewable) โดยวางเป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรวม 12,000 เมกะวัตต์ในปี 2573 จากปัจจุบันอยู่ที่ 2,000 เมกะวัตต์ และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy storag) หรือแบตเตอรี่ที่นับวันมีบทบาทสำคัญช่วยปิดจุดอ่อนของพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งรุกสู่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าตลอดซัปพลายเชน (EV value chain) และไฮโดรเจน
นอกจากนี้ ปตท.หันมาลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจที่นอกเหนือจากพลังงานและต้องสอดคล้อง new s-curve ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) ทั้งยา (Pharmaceutical) อาหารเสริม (Nutrition) เครื่องมือทางการแพทย์ ขณะเดียวกันก็เดินหน้าในธุรกิจที่เกี่ยวกับความคล่องตัวและไลฟ์สไตล์ (Mobility & Lifestyle) โดยมี บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เป็นหัวหอก, ธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (High Value Business), ธุรกิจโลจิสติกส์ และโครงสร้างพื้นฐาน (Logistics & Infrastructure) และการพัฒนาธุรกิจด้านระบบปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ (AI & Robotics Digitalization)
นายอรรถพลกล่าวต่อไปว่า กลุ่ม ปตท.มุ่งสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยบริษัทปตท.ได้กำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2583 (ค.ศ. 2040) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศไทยที่กำหนด Net Zero ในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) พร้อมทั้งกำหนดแผนปฏิบัติการ และการปลูกป่าเพิ่มอีก 1 ล้านไร่