xs
xsm
sm
md
lg

“ดิ เอ็มดิสทริค” ดันกรุงเทพฯ เทียบชั้นมหานครโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การตลาด - เดอะมอลล์เร่งเครื่องปั้นย่านการค้าใหม่ ดิ เอ็ม ดิสทริค ยกระดับกรุงเทพฯ เทียบเท่าย่านการค้าระดับโลก ชี้งบประมาณอาจบานปลายแตะ 60,000 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปีหน้าเผยโฉมได้สมบูรณ์แบบ

วันที่ 5 ตุลาคม 2565 ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญมากของทางกลุ่มเดอะมอลล์ เนื่องจากเป็นวันที่มีการจัดงาน “THE EMDISTRICT “THE PULSE OF BANGKOK” ที่จะเปิดตัวโครงการ“THE EM DISTRICT” อันประกอบด้วย THE EMPORIUM, THE EMQUARTIER และโครงการล่าสุด THE EMSPHERE อย่างเป็นทางการอีกครั้ง

นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท สุขุมวิทซิตี้มอลล์ จำกัด กล่าวว่า การที่จะสร้างย่านการค้าขึ้นมานั้นถือเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายมาก เพราะไม่ใช่แค่การสร้างศูนย์การค้า หรือสร้างคอมเพล็กซ์ หรือสร้างคอมมูนิตี้ ที่ EM District เราไม่ใช่แค่สร้างศูนย์การค้า แต่เราสร้างย่านการค้าที่สมบูรณ์แบบ แบบเดียวกับย่านการค้าดังๆ ใหญ่ๆ ในต่างประเทศ

ดิ เอ็มสเฟียร์ คือจิ๊กซอว์ตัวล่าสุดที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับ ดิ เอ็มดิสทริค ภายใต้แนวคิด ฟิวเจอร์ รีเทล (FUTURE RETAIL) ที่รวบรวมเทรนด์ และไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต หลังจากที่ได้เปิดบริการไปแล้ว 2 โครงการแรก คือ ดิ เอ็มโพเรียม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก บนถนนสุขุมวิท บริเวณสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์


ศุภลักษณ์ย้ำว่า โครงการก่อสร้าง ดิ เอ็มสเฟียร์ เดินหน้าต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร และยอมรับว่างบประมาณก่อสร้างอาจจะบานปลายจากเดิมที่วางไว้ที่ 15,000 ล้านบาทไปบ้างไม่มากก็น้อย เพราะทั้งค่าแรงงานก็ขึ้น ค่าวัสดุก่อสร้างหลักๆ เช่นเหล็กก่อสร้างก็ขึ้นราคา รวมทั้งต้นทุนอี่นๆ อีกก็ขึ้นกันเป็นเงาตามตัว

อาจจะกล่าวได้ว่า งบประมาณก่อสร้างน่าจะไปถึง 16,000 ล้านบาทได้แล้ว

หรือทั้งย่าน ดิ เอ็มดิสทริค นี้ต้องใช้งบประมาณรวมกันไม่น่าต่ำกว่า 60,000 ล้านบาทแล้ว จากเดิมก่อนหน้านี้ที่วางงบประมาณไว้เพียง 50,000 ล้านบาท แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นเพราะว่าทางเดอะมอลล์ต้องการให้สมบูรณ์แบบที่สุด จึงมีการเพิ่มเติมหลายอย่างเข้าไปอีกเช่นกัน

ทั้งนี้ การก่อสร้างของดิ เอ็มสเฟียร์ ด้านการก่อสร้างโครงสร้างมีความคืบหน้าแล้วมากกว่า 90% ส่วนงานสถาปัตยกรรมคาดว่าจะเริ่มเดินหน้าได้ช่วงปลายปีนี้ ซึ่้งเดอะมอลล์ใช้งบประมาณการตกแต่งมากกว่า 500 ล้านบาท และคาดว่าพร้อมเปิดให้บริการ ดิ เอ็มสเฟียร์ เต็มรูปแบบได้ในเดือนธันวาคม 2566


นั่นก็หมายความว่า ดิ เอ็มดิสทริค จะเผยโฉมความสมบูรณ์แบบนั่นเอง

หัวเรือใหญ่ของเดอะมอลล์กรุ๊ปกล่าวว่า บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางด้านธุรกิจการค้า และการท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียนและของโลก เพียบพร้อมไปด้วยย่านการค้า ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวและบันเทิงที่ทันสมัย หลังจากบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างศูนย์การค้าสยามพารากอนให้เป็น “ปรากฏการณ์ค้าปลีกที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกและนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของคนไทย” (THE WORLD CLASS RETAIL & ENTERTAINMENT PHENOMENON) มาแล้ว ครั้งนี้เดอะมอลล์ กรุ๊ป พร้อมแล้วที่จะสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน”

นอกจากเป็นย่านการค้าที่สำคัญแล้ว ยังเป็นการสร้างย่านที่พักอาศัย โรงแรม ออฟฟิศระดับหรู และที่สำคัญศูนย์รวมความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ทันสมัยแปลกใหม่ (ICONIC DISTRICT OF RETAIL, BUSINESS, OFFICE, RESIDENTIAL AND ENTERTAINMENT) อันเป็นหัวใจของความสำเร็จ โดยดิ เอ็มดิสทริค จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ อันจะมีส่วนร่วมในการยกระดับให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครต้นแบบ (ROLE MODLE METROPOLIS) ในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ก้าวหน้าและทันสมัยด้วยนวัตกรรมใหม่อย่างยั่งยืน และเป็นมหานครที่ไม่เคยหลับ


ด้วยหวังว่าสิ่งที่ทำนี้จะยกระดับให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครที่เทียบชั้นมหานครอื่นๆ ที่มีเพียงไม่กี่แห่งในโลกได้ เช่น ปารีส ลอนดอน นิวยอร์ก เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง โตเกียว โซล และกรุงเทพมหานครของไทย

สาเหตุที่ศุภลักษณ์มั่นใจว่าย่านเอ็ม ดิสทริค มีความเหมาะสมที่จะเป็นย่านการค้าแห่งใหม่ และยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครที่เทียบชั้นมหานครอื่นได้ นอกจากความโดดเด่นของโครงการทั้ง 3 แห่งแล้วคือ ดิ เอ็มโพเรียม (THE EMPORIUM) ดิ เอ็มควอเทียร์ (THE EMQUARTIER) และล่าสุดกับโครงการดิ เอ็มสเฟียร์ (THE EMSPHERE)

ยังเป็นผลมาจากความพร้อมทุกอย่างในหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องของ ทำเล ทำเล และทำเล ทั้งนี้ กรุงเทพฯ มีคนมาเยือนมากกว่า 20 ล้านคนต่อปีในช่วงที่สถานการณ์ปกติ มากกว่าโตเกียวที่มีผู้มาเยือนประมาณ 12.6 ล้านคนต่อปี, โซล ประมาณ 12.4 ล้านคนต่อปี, กัวลาลัมเปอร์ประมาณ 11 ล้านคนต่อปี, ฮ่องกง ประมาณ 8 ล้านคนต่อปี และโอซากาประมาณ 7.4 ล้านคนต่อปี

ในย่านดังกล่าวรายล้อมไปด้วยประชากรที่ลงทะเบียนประมาณ 720,000 คน แต่หากรวมที่ไม่ได้ลงทะเบียนแล้วจะมีรวมมากกว่า 1,000,000 คนเลยทีเดียว

อีกทั้งในรัศมี 5 กิโลเมตรจากย่านดิ เอ็ม ดิสทริค ยังมีที่อยู่อาศัยมากกว่า 560,000 ยูนิต


ส่วนคอนโดมิเนียมในรัศมี 5 กิโลเมตรเช่นกัน ก็มีมากกว่า 100 โครงการรวมมากกว่า 180,000 ยูนิต ระดับราคาตั้งแต่ 160,000-600,000 บาทต่อตารางเมตร ทั้งนี้ จากตัวเลขพบว่าตั้งแต่ปี 2564-2567 ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 51 โครงการ รวมมากกว่า 20,000 ยูนิต ระดับราคาตั้งแต่ 170,000-500,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนตลาดอาคารสำนักงานรัศมี 5 กิโลเมตร ยังมีที่อยู่ระหว่างก่อสร้างรวมตั้งแต่ปี 2564-2567 อีกไม่ต่ำกว่า 16 แห่ง รวมพื้นที่ประมาณ 140,000 ตารางเมตร ระดับราคาค่าเช่าที่ 850-1,200 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน และยังมีคนทำงานออฟฟิศในย่านนี้มากกว่า 114,000 คน

ขณะที่ย่านดิ เอ็มดิสทริค นี้ ในส่วนของตลาดโรงแรม พบว่าโรงแรมระดับบน 4-5 ดาวมีเปิดบริการมากกว่า 70 แห่ง รวมมากกว่า 25,100 ห้องพัก

ในส่วนของรถไฟฟ้า พบว่ามีประมาณ 2 ล้านคนต่อวัน, BTS 1.2 ล้านคนต่อวัน, MRT 3 แสนคน สายสีเทา (อนาคต) 3 แสนคนต่อวัน โดยมีการเชื่อมต่อ SKY Walk 3 ศูนย์การค้า รองรับ 2 ล้านคนต่อวัน


สำหรับไฮไลต์หรือปรากฏการณ์ระดับโลกที่สมบูรณ์แบบ (THE WORLD-CLASS MEGA MULTI-FACETED DEVELOPMENT) คือ ดิ เอ็มดิสทริค (THE EM DISTRICT) ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกกับการผนึกกำลังของ 3 โครงการศูนย์การค้าระดับเวิลด์คลาส ประกอบด้วย ดิ เอ็มโพเรียม (THE EMPORIUM) ดิ เอ็มควอเทียร์ (THE EMQUARTIER) และล่าสุดกับโครงการดิ เอ็มสเฟียร์ (THE EMSPHERE) บนเนื้อที่รวม 50 ไร่ โอบล้อมสวนเบญจสิริ พื้นที่รวมทั้ง 3 โครงการกว่า 650,000 ตารางเมตร ณ ทำเลที่ดีที่สุดใจกลางย่านสุขุมวิทใจกลางกรงุเทพฯ (THE EPICENTER OF BANGKOK) ที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ล้ำสมัย ตามแนวคิดของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CREATIVE ECONOMY) เพียบพร้อมไปด้วยย่านธุรกิจ การค้า ศูนย์รวม แฟชั่นลักชัวรี ศิลปะ เทคโนโลยี ไลฟ์สไตล์ ลีฟวิ่ง และไดนิ่ง จากแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลกและชั้นนำของไทยกว่า 1,000 แบรนด์

ดิ เอ็มสเฟียร์ เป็นศูนย์การค้า Hybrid New Entertain & Hang Out เป็นศูนย์การค้าที่มีร้านอาหาร Hang Out รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เป็นศูนย์การค้าแรกในเมืองไทยที่มี Beach Club ที่เหมือน Beach Club ชายทะเลสมุย ภูเก็ต ให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการ มีแบรนด์ชั้นนำรวมกว่า 300 แบรนด์ มี Sky Walk เชื่อมทุกๆ ตึกเดินหากันได้ เหมือนศูนย์การค้าในฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฯลฯ

ท้้งนี้ ดิ เอ็มดิสทริค มีพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ หรือประมาณ 200,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่หลักๆ เช่น ค้าปลีกประมาณ 60,000 ตารางเมตร, พื้นที่ร้านแฮงก์เอาต์ 20,000 ตารางเมตร, พื้นที่เอ็มไลฟ์ 20,000 ตารางเมตร, พื้นที่อิเกีย 12,000 ตารางเมตร เป็นต้น


ขณะที่ ดิ เอ็มโพเรียม มีพื้นที่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร และ ดิ เอ็มควอเทียร์ ประมาณ 250,000 ตารางเมตร
ขณะที่ดิ เอ็มควอเทียร์ จะมีจุดเด่นคือจับกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก มีทั้งโซนสำหรับเด็ก เช่น เอ็มจอย ศูนย์การเรียนรู้สู่อนาคต ของเยาวชนยุคดิจิทัล โรงเรียนสอนภาษา กีฬา ดนตรี รวม 30 โรงเรียน และไตรมาส 1 ปี 66 จะเปิดบริการสนามเด็กเล่นในร่มฮาร์เบอร์แลนด์ รวมไปถึงยังมีร้านอาหารต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งคนไทยและต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้เข้าไปใช้บริการจำนวนมาก

ส่วนดิ เอ็มโพเรียม จับกลุ่มลักชัวรีแบรนด์ที่เข้ามาซื้อสินค้าแบรนด์เนมเป็นหลัก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงพื้นที่ใหม่ด้วยเงินลงทุน 2,000 ล้านบาท โดยจะเปิดให้บริการได้เต็มรูปแบบเดือน ธ.ค. 65 นี้ โดยทั้งสองโครงการนี้มีผู้มาใช้บริการในวันธรรมดา 100,000 คน และวันหยุด 150,000 คน

ส่วน ดิ เอ็มสเฟียร์ คาดว่าจะมีลูกค้าหมุนเวียน 80,000-100,000 คนต่อวัน

ทั้ง 3 ศูนย์การค้าจะมีการวางโพสิชันนิ่งที่แตกต่างกัน โดย ดิ เอ็มโพเรียม คือที่สุดแห่งความมีระดับ (THE ULTIMATE LUXURY SHOPPING COMPLEX) ได้รับปรับโฉมใหม่ทั้งหมดทั้งภายในและภายนอกให้หรูหราสวยงาม ทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวก และบรรยากาศอบอุ่นน่าชอป

ขณะที่ดิ เอ็มควอเทียร์ เป็นมิติใหม่ของรูปแบบชีวิตที่ไม่ธรรมดา (THE EXTRAORDINARY LIFE) เป็นเดสติเนชันแห่งไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ ประกอบไปด้วยอาคารศูนย์การค้า สำนักงาน สถานที่สำหรับจัดกิจกรรมและสันทนาการต่างๆ พร้อมสวนสวรรค์อันรื่นรมย์


ดิ เอ็มสเฟียร์ คือ FUTURE RETAIL ศูนย์การค้าแห่งอนาคตที่ไม่เคยหลับใหล (SLEEPLESS METROPOLIS) ซึ่งได้คัดสรรและรวบรวมความบันเทิง นวัตกรรม และความเป็นลิมิเต็ดต่างๆ ที่ทุกๆ คนพลาดไม่ได้ ซึ่งเมื่อผสานจุดเด่นของทั้ง 3 ศูนย์แล้ว ดิ เอ็มดิสทริค จะกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่สามารถตอบรับความต้องการของทุกๆ คนได้อย่างครบถ้วน เรียกได้ว่า แตกต่างในเรื่องของตำแหน่งทางการค้าและภาพลักษณ์และการบริการและร้านค้า เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมและเอื้อต่อกัน

นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดิ เอ็มดิสทริค กล่าวว่า ดิ เอ็มสเฟียร์ คือโครงการล่าสุด คือหัวใจของ ดิ เอ็มดิสทริค ที่จะเป็นชีพจร เป็นความเร้าใจใหม่ของกรุงเทพฯ (THE VIBE OF BANGKOK HAS NEVER EXPERIENCED BEFORE) เป็นอีกหนึ่งโครงการที่เหนือความคาดหมาย ในรูปแบบของศูนย์การค้าที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่จะมาเติมเต็มโครงการดิ เอ็มดิสทริค และสร้างความแข็งแกร่งให้กับย่านสุขุมวิท คาดว่าพร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ในเดือนธันวาคม 2566

ทั้งนี้ ดิ เอ็มสเฟียร์ คือจิ๊กซอว์ตัวล่าสุด ที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับ ดิ เอ็มดิสทริค ภายใต้แนวคิด ฟิวเจอร์ รีเทล (FUTURE RETAIL) ที่รวบรวมเทรนด์ และไลฟ์สไตล์แห่งอนาคตบนพื้นที่กว่า 200,000 ตารางเมตร ด้วยงบระมาณลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท ที่ประกอบด้วยโซนต่างๆ ดังนี้

EM GALLERIA โซนสำหรับเหล่าแฟชั่นนิสต้า ที่ประกอบไปด้วยแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก ไทยดีไซเนอร์ และแบรนด์เนมชั้นนำของไทย
EM LIFESTYLE โซนที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่
EM MERCADO สวรรค์สำหรับนักชิม ศูนย์รวม International food market ที่หลากหลายจากทั่วโลก ร่วมด้วยร้านอาหารชั้นนำมากมาย
EM WONDER แหล่งแฮงก์เอาต์แห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร สีสันของความบันเทิงที่เป็นที่สุดสำหรับชาวไทย และนักท่องเที่ยว
EM INNOVATION แหล่งรวมนวัตกรรมล้ำสมัยจากทั่วโลก ให้สัมผัสครั้งแรกในเมืองไทย
IKEA CITY STORE อิเกีย ซิตี้ สโตร์แห่งแรกของเมืองไทย และของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
EMLIVE ที่สุดแห่งความบันเทิงระดับโลกกับ World Class Arena ความจุ 6,000 ที่นั่ง โดยการบริหารงานของ AEG ผู้ประกอบธุรกิจบันเทิง และกีฬาระดับโลก

นางสาวศุภลักษณ์กล่าวให้ความเห็นว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวถือเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต โดยคาดว่าปีหน้านักท่องเที่ยวจะกลับมาเหมือนปกติและธุรกิจต้องเริ่มเน้นทางด้าน Entertain เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว โดย BOI ต้องมีการสนับสนุนด้วย ส่วนภาพรวมของธุรกิจคาดว่าจะกลับมาเติบโตเต็มที่ภายใน 5 ปี คือปี ค.ศ. 2026 แต่ถ้าจีนเปิดประเทศเร็วก็จะเร็วขึ้น

นางสาวศุภลักษณ์ย้ำเสมอว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป เราไม่เน้นขยายธุรกิจสาขาเยอะ ไม่เน้นจำนวน แต่จะเน้นทำเลที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะใน กรุงเทพฯ เราจะครอบคลุมทำเลที่ดีทั้งหมดตั้งแต่ Down Town คือสยามพารากอน, Mid Town คือย่านดิเอ็มดิสทริค The Em District และ Up Town คือ Bangkok Mall (ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างบริเวณสี่แยกบางนา) กับเดอะมอลล์ทุกสาขา

จากนี้ไปคงต้องจับตาดูการเกิดขึ้นของ ดิ เอ็ม ดิสทริค ย่านการค้าแห่งใหม่ของโลกว่าจะสร้างสีสันและเม็ดเงินเข้าประเทศไทยได้มากน้อยเพียงใด ก่อนที่เดอะมอลล์จะลุยหนักต่อเนื่องอีกกับอีกโครงการใหญ่อย่าง แบงค็อกมอลล์


กำลังโหลดความคิดเห็น