KTIS เผยเปิดหีบอ้อยฤดูการผลิตปี 2565/2566 จะมีปริมาณอ้อยเข้าหีบมากกว่าปีก่อนราว 15-20% เนื่องจากปริมาณน้ำฝนมากทำให้อ้อยมีผลผลิตต่อไร่สูง รวมทั้งมีการเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อยจากแรงจูงใจของราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกที่สูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจต่อเนื่องทำรายได้ในปี 2566 โตขึ้น มั่นใจเศรษฐกิจโลกถดถอยและการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่กระทบ
นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (KTIS) เปิดเผยว่าประมาณการผลผลิตอ้อยของหน่วยงานรัฐ และโรงงานน้ำตาล ในฤดูการผลิตปี 2565/2566 คาดว่าปริมาณอ้อยและน้ำตาลทรายจะมากกว่าปี 2564/2565 ค่อนข้างมากราว 15% เนื่องจากปริมาณฝนที่ตกมากทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น อีกทั้งราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกก็อยู่ในระดับสูง ทำให้ชาวไร่อ้อยเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อยอีกด้วย
ทั้งนี้ ในฤดูการผลิตปี 2564/2565 บริษัทมีปริมาณอ้อยเข้าหีบรวม 6.2 ล้านตัน ผลิตน้ำตาลทรายได้ 6.3 ล้านกระสอบ และคาดว่าปริมาณอ้อยเข้าหีบของปีการผลิต 2565/2566 ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ กลุ่ม KTIS จะได้ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15-20%
นายสมชายกล่าวว่า ปริมาณอ้อยที่เพิ่มมากขึ้นจะทำให้วัตถุดิบที่ส่งเข้าสู่โรงงานต่างๆ มีมากขึ้นกว่าปีก่อนด้วยเช่นกัน ทั้งโมลาส (กากน้ำตาล) ที่เข้าสู่โรงงานผลิตเอทานอล ชานอ้อยสำหรับผลิตเยื่อกระดาษชานอ้อยและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง รวมถึงโรงไฟฟ้าชีวมวลก็จะมีเชื้อเพลิงมากขึ้นด้วย กอปรกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงส่งผลดีต่อการส่งออกทั้งน้ำตาล เยื่อกระดาษจากชานอ้อย บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อย ขณะที่ราคาน้ำตาลในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ผลประกอบการปี 2566 ปรับตัวสูงขึ้นด้วย
ความคืบหน้าโครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อย กำลังการผลิต 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2565 ช่วยเสริมให้ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ที่สนใจติดต่อขอเป็นผู้แทนจำหน่ายบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยเข้ามาหลายราย และติดต่อเข้ามาจ้างผลิตในลักษณะของ OEM อีกจำนวนหนึ่ง
นายสมชายกล่าวว่า บริษัทจะได้รับผลกระทบน้อยมากจากเศรษฐกิจโลกถดถอย และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากธุรกิจน้ำตาลยังมีตลาดรองรับแน่นอน และบริษัทก็มีการลงทุน Fully Automation เพิ่มขึ้นลดการใช้แรงงานคน ทำให้ได้รับผลกระทบน้อยเช่นกัน
สำหรับผลประกอบการบริษัทงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2565 บริษัทมีรายได้รวม 1.11 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 8.24 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 315.32 ล้านบาท ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 1,224.51 ล้านบาท