ปตท.ชี้แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/65 โตขึ้นกว่าไตรมาสก่อน เหตุราคาน้ำมันและก๊าซฯ รวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับสูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้าได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
นายธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ว่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2 นี้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเองก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนราคาปิโตรเคมีพบว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีก็เพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาวัตถุดิบคือแนฟทาที่มีราคาสูง อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ก็ส่งผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าที่มีต้นทุนเชื้อเพลิงสูงขึ้น
สำหรับแผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตลาดจร (Spot) ในปีนี้ ทางปตท.ได้มีการนำเข้า LNG ในไตรมาส 1/2565 แล้ว 2.3 ล้านตัน แบ่งเป็นตลาดจร 1.1 ล้านตัน ซึ่งประเทศไทยมีสัญญาซื้อ LNG ระยะยาว 5.2 ล้านตัน/ปี โดย กกพ.ระบุว่าไทยจะมีการนำเข้า LNG ตลาดจรในปีนี้ 4.5 ล้านตัน ปตท.นำเข้าเพื่อทดแทนปริมาณก๊าซฯ จากแหล่งเอราวัณที่ปริมาณการผลิตลดลงประมาณ 1.8 ล้านตัน
ขณะนี้ราคา LNG ตลาดจรได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 20 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู จึงเป็นจังหวะการนำเข้า Spot แต่ช่วงไตรมาส 4 ราคา LNG จะปรับเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว
นายธนพลกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่กลุ่มปตท.จะร่วมมือกับบริษัท Tesla ในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในไทยว่า ปตท.ได้เข้าลงทุนในธุรกิจอีวีตลอดห่วงโซ่มูลค่าตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่ร่วมกับบริษัทลูก คือ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) รวมทั้งอรุณพลัสซึ่งเป็นบริษัทย่อย ปตท. ได้ร่วมทุนกับฟ็อกซ์คอนน์ตั้งโรงงานผลิตอีวีในไทย โดยมีการเจรจาผู้ผลิตรถอีวีหลายรายทั้งยุโรป สหรัฐฯ และจีนเพื่อให้มาใช้ฐานการผลิตในโรงงานนี้ ดังนั้น ปตท.พร้อมที่จะร่วมมือกับพันธมิตรหลายแบรนด์เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตอีวี
ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเร่งธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าในไทย ทางอรุณพลัสก็มีแผนขยายการติดตั้งอีวีชาร์จให้ได้ 1,350 ยูนิต ขณะที่ บจม.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ก็มีแผนขยายสถานีชาร์จอีวีทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมันรวม 350 แห่ง
