SCC คาดไตรมาส 2/65 โตต่อเนื่อง หลังความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เคมิคอลส์และซีเมนต์ฟื้นตัวดีขึ้นหลังไทยเปิดประเทศ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้ง ศก.อาเซียนฟื้นตัวขึ้น จับตาเงินเฟ้อสูงกดดันกำลังซื้อหด เร่งคุมต้นทุนการผลิตลงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่และดูแลงานการเงินและการลงทุน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานบริษัทในไตรมาส 2/2565 ยังเติบโตต่อเนื่องทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเคมิคอลส์ ธุรกิจแพกเกจจิ้ง และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ซึ่งมีความต้องการใช้ดีขึ้น หลังจากประเทศไทยเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนที่ฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน
ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อสูงเป็นปัญหาใหญ่ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้านี้ แม้ว่าจะมีส่วนช่วยในการปรับขึ้นราคาสินค้าเพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นได้บางส่วน แต่การปรับขึ้นราคาสินค้าต้องเป็นไปตามกลไกตลาด รวมทั้งภาพรวมตลาดสามารถปรับขึ้นได้แค่ไหน รวมทั้งทำให้กำลังซื้อลดลง ดังนั้นบริษัทหันมาเน้นการปรับลดต้นทุนการผลิตลง โดยหันไปใช้เชื้อเพลิงทางเลือกอย่างพลังงานชีวมวลแทนการใช้ถ่านหิน คาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทจะมีการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลคิดเป็น 50% ของการใช้พลังงานจากปัจจุบันใช้เชื้อเพลิงชีวมวลอยู่ที่ 30% โดยบริษัทได้มีการปรับเทคโนโลยีเพื่อรอบรับการใช้เชื้อเพลิงทางเลือก จึงเป็นความเข้มแข็งระยะยาวของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง
นอกจากนี้ จีนมีนโยบาย Zero Covid ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกเม็ดพลาสติกไปยังประเทศจีน ดังนั้นบริษัทได้หันไปส่งออกเม็ดพลาสติกไปยังยุโรปและแอฟริกาเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันมาร์จิ้นเม็ดพลาสติกพีวีซีก็ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากการผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซีจากถ่านหินในประเทศจีนลดกำลังการผลิตลงด้วย ส่งผลดีต่อบริษัทฯ
นายธรรมศักดิ์กล่าวว่า บริษัทยังคงงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 65,000-85,000 ล้านบาท โดยหลักๆ จะใช้ลงทุนในโครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในต้นปี 2566 จากปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 93% ส่วนที่เหลือเตรียมไว้สำหรับการลงทุนใหม่ๆ
ดังนั้นในปี 2566 โครงการ LSP ผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว บริษัทจะรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการดังกล่าวทันที โดยบริษัทได้ยื่นขอลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมในโครงการ LSP ระยะที่ 2 ประเทศเวียดนามแล้วเพื่อรองรับความต้องการใช้พลาสติกในเวียดนาม
นอกจากนี้ บริษัทได้เข้าซื้อกิจการในสัดส่วน 70% ใน Sirplaste-Sociedade Industrial de Recuperados de Plástico, S.A. (Sirplaste) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (Recycled Polymers or Post-Consumer Resin - PCR) รายใหญ่ที่สุดในประเทศโปรตุเกส หลังจากการลงทุนดังกล่าวบริษัทก็จะเข้าไปดำเนินการขยายกำลังการผลิตอีก 25% เนื่องจากกำลังการผลิตปัจจุบันมีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในยุโรป ที่คาดมีความต้องการมากถึง 3.7 ล้านตันต่อปี มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ใน 5 ปีข้างหน้า โดยบริษัทมีเป้าหมายในการผลิต green polymer ให้ได้ 1 ล้านตันภายในปี 2573