ผู้จัดการรายวัน 360 - ซีอาร์ซี ไทวัสดุ กางแผนปี 2565 สานต่อยุทธศาสตร์ CRC Retailligence ภายใต้วิสัยทัศน์การขึ้นเป็นผู้นำค้าปลีก ออมนิแชนเนลตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านอย่างครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย อัดลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท ตั้งเป้าการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 12 ปีในการก่อตั้ง ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ได้ขยายธุรกิจสินค้าวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้าน รวมถึงสินค้าที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้คน ครอบคลุมทุกเรื่องเกี่ยวกับบ้านและรถ แม้ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งนับเป็นความท้าทายของธุรกิจค้าปลีกทั่วโลก แต่ด้วยการปรับตัวโดยไม่หยุดยั้ง ธุรกิจของบริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงระบาดหนักของโควิด-19 โดยในปี 2564 บริษัทฯ สร้างยอดขายเติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2563 พร้อมกับการขยายสาขาไทวัสดุ 5 สาขา และการเปิดธุรกิจใหม่ภายใต้แบรนด์ โก! ว้าว
สำหรับปี 2565 ซีอาร์ซี ไทวัสดุ มุ่งเป้าการเติบโตเป็นผู้นำค้าปลีกออมนิแชนเนลตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้านอย่างครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย พร้อมสานต่อยุทธศาสตร์ CRC Retailligence สร้างการเติบโต (CAGR) ในระยะ 10 ปี (2560-2569) โดยใน 5 ปีแรกการเติบโตของธุรกิจอยู่ที่ 12% ในขณะที่ 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) คาดการณ์อัตราการเติบโตของธุรกิจอยู่ที่ 18% และตั้งเป้าผลกำไรเพิ่ม 30% ผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจใน 5 กลยุทธ์สำคัญ ประกอบด้วย
1. Thriving เสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจ รองรับการเติบโตในอนาคต ด้วยงบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท ผ่านการขยายสาขาใหม่ ปรับปรุงสาขาเดิม การรีแบรนด์ และพัฒนารูปแบบบริการในทุกแบรนด์ครอบคลุม ไทวัสดุ บีเอ็นบีโฮม ออโต้วัน โก! ว้าว และหลากหลายในทุกฟอร์แมตทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ การเพิ่มช่องทางการขายใหม่ (Multi-Channels : Chat & Shop, Call & Shop, e-ordering, Direct Sales) ขยายประเภทและชนิดของสินค้าให้หลากหลาย
2. Seamless Omnichannel Shopping Experience ในปี 2564 ช่องทางออนไลน์เติบโต 400% ด้วยสินค้ากว่า 70,000 รายการ มียอดการเยี่ยมชมกว่า 17 ล้านครั้งต่อเดือน มีลูกค้าจำนวน 2 ล้านรายต่อเดือน สร้างยอดขายกว่า 60,000 ออเดอร์ต่อเดือน โดยในปี 2565 ช่องทางออมนิแชนเนลตั้งเป้าเติบโตช่องทางออนไลน์เพิ่ม 150% เปิดตัวโมบายล์แอปพลิเคชัน ‘ไทวัสดุ’ ในเดือนพฤษภาคม และพัฒนาแอป บีเอ็นบี โฮม และออโต้วัน ที่จะพร้อมเปิดตัวในอนาคตอันใกล้
3. Supply Chain & Logistics Expansion ปรับปรุงและขยายคลังสินค้าแห่งใหม่บนพื้นที่กว่า 160,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นกว่า 120% และได้พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ลงทุนขยาย fleet รถบรรทุกกว่า 25% และเริ่มทดลองวิ่งรถบรรทุก EV Charge พลังสะอาด ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 30 คัน ในปี 2566 ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 200 ต้นต่อปี
4. Driving Sustainability การขับเคลื่อนธุรกิจที่ยั่งยืนที่เคียงข้างในทุกมิติ ทั้งพนักงาน คู่ค้า สังคมและสิ่งแวดล้อม อันเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Values) ตามนโยบายของเซ็นทรัลทำ
โดยมุ่งเน้นใน 3 มิติหลัก ได้แก่
- People Centric ให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพคน ตลอดระยะเวลา 12 ปีในการดำเนินธุรกิจ สร้างรายได้และสร้างอาชีพให้แก่ผู้พิการ ผู้สูงอายุ เพิ่มโอกาสสร้างงานและขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงวิกฤตโควิด-19 มีการจ้างงานกว่า 1,000 อัตรา นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างบัณฑิตคุณภาพ โดยการมอบทุน และฝึกภาคปฏิบัติเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เพื่อตอบโจทย์ตลาดแรงงาน ณ ปัจจุบันได้มอบทุนการศึกษาไปแล้วกว่า 62 ล้านบาท
- Sharing Society ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการตอบแทนสังคมผ่านโครงการสำคัญต่างๆ อาทิ โครงการ “รวมหัวใจให้บ้านเกิด” ที่เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมสร้างประโยชน์ต่อชุมชนของตนเอง โดยการเข้าไปช่วยเหลือปรับปรุงสถานที่ และมอบอุปกรณ์ให้แก่โรงพยาบาล โรงเรียน สร้างบ้านให้ผู้ยากไร้ รวมไปถึงการสนับสนุนและช่วยเหลือสังคมในยามวิกฤต เช่น การบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ และยังเป็นผู้สนับสนุนโครงการที่ให้ความช่วยเหลือประชาชน หน่วยงานทางการแพทย์ที่ได้ผลกระทบจากโควิด-19 เช่น การบริจาคทุนและอุปกรณ์เพื่อสร้างศูนย์พักคอย สร้างโรงพยาบาลสนาม การผลิตยาฟ้าทะลายโจร การบริจาคเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น
- Environmental Oriented สร้างการเติบโตของธุรกิจที่เคียงข้างกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยร่วมกับองค์การป่ารักษ์น้ำแห่งประเทศไทยเป็นเวลากว่า 4 ปี มอบฝายจำนวน 1,130 แห่ง ในพื้นที่ จ. เชียงใหม่ ช่วยบรรเทาวิกฤตของป่าต้นน้ำคืนความสมดุลให้แก่ธรรมชาติ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้ขานรับนโยบาย BCG อันเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของประเทศ เริ่มติดตั้ง Solar Roof ตั้งเป้าทุกสาขาในปี 2566 ช่วยลดภาวะโลกร้อน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ถึง 2.5 ล้านต้น
5. New Market Penetration การลงทุนขยายธุรกิจใหม่ในกลุ่มฟาสต์ฟิตของแบรนด์ออโต้วัน ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2565 จะมีสาขารวม 30 สาขา พร้อมเปิดตัว Super App AUTO1 และ Line Connect (Live Chat) ให้บริการสั่งซื้อ จองคิวรับบริการ การแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดระยะ รวมถึงแจ้งเหตุฉุกเฉิน สำหรับ โก! ว้าว เร่งขยายสาขาโดยสิ้นปี 2565 จะมีสาขารวม 70 สาขา