ผู้จัดการรายวัน360- สยามแม็คโคร เปิดกลยุทธ์เชิงรุก O2O ขับเคลื่อนการเติบโตรับยุคดิจิทัล เตรียมเปิดตัวตลาดค้าส่งออนไลน์ ‘maknet’ แพลตฟอร์ม B2B Marketplace ภายใต้กลยุทธ์ End to End Solution ตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าร้านอาหารแบบครบวงจร ทั้งสิ้นค้าและบริการ ตั้งเป้า 3 ปีเพิ่มสัดส่วนยอดขายในช่องทาง Omni Ch จาก 12% เป็น 30% เดินหน้าสู่ B2B Marketplace อันดับหนึ่งของไทย
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร เปิดเผยว่า บริษัทฯวางแผนใช้งบลงทุนรวมปี2565นี้ประมาณ 11,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเปิดสาขาขนาดเล็ก 1,000-2,000 ตารางเมตร แบบแม็คโครฟูดเซอร์วิสเป็นหลักประมาณ 35 สาขา (ในไทย 30 สาขา และต่างประเทศ5 สาขา ที่อินเดียและกัมพูชา ) จากปัจจุบันในไทยมี 144 สาขา และต่างประเทศ 7 สาขา
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการขยายตัวแบบออฟไลน์ต่อเนื่อง แต่ยังมีการลงทุนด้านดิจิทัลและออนไลน์ต่อเนื่องควบคู่ไปด้วยเพื่อตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ด้วยงบประมาณรวมอีก 2,000 ล้านบาท ในช่วง 4 ปีนี้ เริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว 2564 หลังจากที่ แม็คโครได้ทำธุรกิจ O2O ซึ่งเป็นการผสมผสานช่องทางออฟไลน์และออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2562 ด้วยการเปิดตัว MakroClick ที่เปรียบเสมือนการยกห้างแม็คโครมาไว้บนออนไลน์ ทั้ง website และ Mobile Application โดย 3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้า B2B ที่เปลี่ยนแปลงไป คือต้องการความครบถ้วนของทั้งสินค้าและบริการในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการสั่งสินค้า
ล่าสุด บริษัทฯ จึงได้พัฒนา B2B Marketplace หรือตลาดค้าส่งออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการ ภายใต้ชื่อ ‘maknet’ ซึ่งมีจุดเด่น คือการเป็นตลาดค้าส่งออนไลน์ ภายใต้กลยุทธ์ End to End Solution ตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าร้านอาหารแบบครบวงจร ทั้งสิ้นค้าและบริการ ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ทั้งที่มีจำหน่ายในแม็คโคร และยังขยายสินค้าเพิ่มเติมจากร้านค้าพันธมิตรอีกกว่า 1,000 รายที่เข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์ม ‘maknet’ ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจร้านอาหารอย่างครบถ้วนด้วย ประการสำคัญ ‘maknet’ ยังเป็นส่วนหนึ่งของ ‘แพลตฟอร์มแห่งโอกาส’ ที่เปิดพื้นที่ให้กับผู้ผลิต SME ได้เข้าถึงช่องทางจำหน่ายและลูกค้าที่หลากหลาย รวมถึงได้ใช้เทคโนโลยี และโลจิสติกส์ที่ทันสมัย ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคของผู้ประกอบการขนาดเล็กด้วย”
นางสุชาดา กล่าวอีกว่า เชื่อมั่นว่า แม็คโครที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจกับ B2B กว่า 30 ปี ทำให้เราเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าผู้ประกอบการอย่างลึกซึ้ง และด้วยความสัมพันธ์อันดีกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้ ‘maknet’ เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจรสำหรับ B2B มีจุดเด่นครอบคลุมสินค้ากว่า 100,000 รายการ
“เป้าหมายของเรา คือ การพัฒนา ‘maknet’ ให้ก้าวขึ้นเป็นแพลตฟอร์ม B2B online Marketplace อันดับ 1 ของไทย ด้วยจุดเด่นคือความครบจบในที่เดียว เป็นแพลตฟอร์มแรกที่ลูกค้าผู้ประกอบการจะนึกถึง ในทุกช่วงเวลาของการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะต้องการเปิดร้าน หรือเปิดอยู่แล้วต้องการหาวัตถุดิบใหม่ๆ รวมถึงการปรับปรุง ขยายร้านก็ตาม”
ปัจจุบัน ‘maknet’ มีร้านค้าที่เข้าร่วมบนแพลตฟอร์มแล้วประมาณ 1,000 ราย โดยตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปี (ปี 2567) คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ราย และมีลูกค้าผู้ประกอบการ 500,000 ราย ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับแม็คโคร จากปัจจุบันที่มียอดขายสินค้าผ่านช่องทาง Omni channel จาก12% เป็น 30% ภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า จากยอดรายได้รวม โดยปีที่แล้ว(2564)มีประมาณ 220,000 ล้านบาท ซึ่งเราได้เริ่มเปิดให้บริการ maknet มาระยะหนึ่งแล้วอย่างไม่เป็นทางการในพื้นที่กรุงเทพตะวันตก และคาดว่าภายในไตรมาสที่สองนี้จะขยายการบริการได้ครบทุกพื้นที่ ขณะที่แม็คโคร คลิก (makro click ) ทำมาแล้ว 4 ปีมีฐานลูกค้ากว่า 500,000 รายแล้ว
“เราจึงมั่นใจว่า ‘maknet’ จะเป็นจิ๊กซอว์ที่มีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของแม็คโครและผู้ประกอบการ SMEs ทั้งหลายในอนาคต” นางสุชาดากล่าว
นางสุชาดา กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันด้วยว่า ในส่วนของสงครามรัสเซียกับยูเครนนั้น แม็คโครได้รับผลกระทบทางอ้อมแต่่ไม่ได้มีผลอะไร เช่น งานทางด้านเทคที่มีการเอาท์ซอร์สและมีชาวยูเครนรับงานด้วยส่วนหนึ่ง อาจจะทำงานไม่สะดวกเกิดความล่าช้าบ้าง ส่วนเรื่องต้นทุนประกอบการที่สูงขึ้่นนั้น อันเนื่องมาจากค่าน้ำมันที่สูงขึ้นและภาวะเศรษฐกิจ ยังอยู่ในระดับที่รับได้ ยังไม่มีการปรับราคาสินค้าขึ้นแต่อย่างใด ส่วนโครงการต่างๆของบริษัทยังไม่มีการยกเลิก เพียงแต่ว่าอาจจะชะลอไปบ้างตามสถานการณ์เล็กน้อย