ทช.เผย ขยาย 4 เลน ถนน สป.1011 แยก ทล.3-เทพารักษ์ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ กว่า 3.8 กม. คืบหน้ากว่า 76% กำลังเทพื้นคอนกรีตคาดเสร็จใน ก.ย. 65 แก้รถติดเมืองปากน้ำ และเส้นทางเชื่อมอีอีซี
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย สป.1011 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3-เทพารักษ์ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ รวมระยะทางทั้งสิ้น 3.875 กิโลเมตร งบประมาณรวม 590 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 76 โดยอยู่ระหว่างการดำเนินงานแผ่นพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กรองรับโครงสร้างทาง งานชั้นโครงสร้างทาง และงานผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็กคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2565 นี้
การก่อสร้างโครงการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการแก้ไขปัญหาจราจรที่หนาแน่น รองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต ส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่งการท่องเที่ยวในจังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดใกล้เคียง สนับสนุนโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor ; EEC)
โครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย สป.1011 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3-เทพารักษ์ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นการขยายถนนจากเดิม 2 ช่องจราจร เป็นถนน 4 ช่องจราจร ก่อสร้างเป็นผิวจราจรแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก จาก กม.ที่ 0+000 ถึง กม.ที่ 2+200 และ กม.ที่ 2+900 ถึง กม.ที่ 3+875 ระยะทาง 3.175 กิโลเมตร และช่วงบริเวณหน้าสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ก่อสร้างเป็น 6 ช่องจราจร จาก กม.ที่ 2+200 ถึง กม.ที่ 2+900 ระยะทาง 0.700 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งสิ้น 3.875 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 5 แห่ง และระบบระบายน้ำ ไฟฟ้าแสงสว่าง เครื่องหมายจราจร สิ่งอำนวยความปลอดภัย รวมถึงได้มีการตอกเสาเข็มปูพรมเต็มพื้นที่พร้อมแผ่นพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กก่อนก่อสร้างโครงสร้างคันทาง เพื่อป้องกันการทรุดตัวบนพื้นที่ดินอ่อนอีกด้วย
ทั้งนี้ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยให้การคมนาคมในพื้นที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประชาชนที่ต้องการเดินทางไปยังสถานที่และหน่วยงานราชการสำคัญต่างๆ เช่น โครงการลูกพระดาบส สมุทรปราการตามพระราชดำริ, ศูนย์อุตุนิยมวิทยาและพยากรณ์อากาศ, มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี สมุทรปราการ, สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ฯลฯ และจังหวัดใกล้เคียง สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วปลอดภัย ประหยัดเวลา/ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม