กรมการค้าต่างประเทศเผยการใช้สิทธิ์ส่งออกภายใต้ RCEP ช่วง 2 เดือนมีมูลค่า 1,165.52 ล้านบาท เป็นการส่งออกไปญี่ปุ่นมากสุด ตามด้วยจีน และเกาหลีใต้ เผยไม่ใช่ได้แค่เรื่องภาษี แต่ได้เรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้าที่ง่ายขึ้นด้วย และสินค้าเน่าเสียตรวจปล่อยเร็วขึ้น เตรียมผลักดันให้ผู้ส่งออกรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว พร้อมลงพื้นที่จัดสัมมนาให้ความรู้ทุกภูมิภาค เม.ย.-ก.ย.นี้
นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2565 พบว่าผู้ส่งออกไทยได้มีการมาขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลง RCEP (Form RCEP) จนถึงวันที่ 28 ก.พ. 2565 เป็นมูลค่าสูงถึง 1,165.52 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออกไปญี่ปุ่นมากที่สุดเป็นอันดับแรก คิดเป็นมูลค่า 540.36 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสินค้าปลาปรุงแต่งประเภทปลาเฮอร์ริง ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก ผักปรุงแต่ง และสิ่งทอ รองลงมาคือ จีน มูลค่า 453.95 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสินค้าพืช ผัก ผลไม้สด เช่น มันสำปะหลัง ลำไย ทุเรียน และมะพร้าว เป็นต้น และอันดับที่ 3 คือ เกาหลีใต้ มูลค่า 171.21 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสินค้าถุงลมนิรภัยพร้อมระบบพองลม รถจักรยานยนต์ ไขมันและน้ำมันชนิดระเหย แชมพู เชิ้ตของบุรุษหรือเด็กชายทำด้วยฝ้าย
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP ในเดือน ก.พ. 2565 กับเดือน ม.ค. 2565 ซึ่งเป็นเดือนแรกของการเริ่มบังคับใช้ความตกลง RCEP จะเห็นได้ว่าเฉพาะเดือน ก.พ.มีมูลค่าการขอใช้สิทธิ์สูงถึง 887.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 219.49% โดยในเดือน ม.ค. 2565 มีการขอใช้สิทธิ์ภายใต้ RCEP อยู่ที่ 277.84 ล้านบาท เป็นการส่งออกไปยัง 2 ตลาดหลัก คือ ญี่ปุ่น และจีน ส่วนเกาหลีใต้ ความตกลงเพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2565 จึงเริ่มมีการขอใช้สิทธิ์ส่งออก โดยสินค้าที่มีการขอหนังสือรับรอง Form RCEP ส่วนใหญ่เป็นสินค้าได้รับสิทธิ์ในการลดภาษีจากเกาหลีใต้เพิ่มเติม รวมถึงเกณฑ์การได้ถิ่นกำเนิดสินค้าที่ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการส่งออกโดยใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (AKFTA)
นายพิทักษ์กล่าวว่า ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดจากความตกลง RCEP คือ ไม่ได้จำกัดเฉพาะการที่ผู้ส่งออกจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษี แต่ได้ประโยชน์ในเรื่องเกณฑ์การได้ถิ่นกำเนิดสินค้าด้วย อย่างการส่งออกไปญี่ปุ่น ในกลุ่มสินค้าปลาปรุงแต่ง ทูน่ากระป๋อง ซึ่งไทยได้รับการลดภาษีเหลือ 0% อยู่แล้วภายใต้กรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) แต่ความได้เปรียบภายใต้ความตกลง RCEP คือ การได้ถิ่นกำเนิดสินค้าที่มีข้อกำหนดของหลักเกณฑ์ที่ง่ายขึ้น โดยความตกลง RCEP ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขในการได้มาซึ่งวัตถุดิบในการนำมาผลิต ต่างจากความตกลง JTEPA ที่มีข้อกำหนดว่าปลาที่นำมาแปรรูปนั้นจะต้องเป็นปลาที่ได้จากเรือประมงที่ได้รับอนุญาต และ AJCEP กำหนดว่าปลาที่นำมาแปรรูปจะต้องเป็นปลาที่ได้จากประเทศสมาชิกภายใต้ความตกลงเท่านั้น
ส่วนการส่งออกสินค้าพืช ผัก ผลไม้สด ไปจีน ที่แม้ว่าภายใต้ RCEP ส่วนใหญ่จะได้รับการลดภาษีในระดับที่เท่ากันกับกรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) คือ 0% แต่เนื่องจากความตกลง RCEP มีข้อกำหนดเรื่องการตรวจปล่อยสินค้าที่ชัดเจน โดยกรณีที่เป็นไปได้ ให้ตรวจปล่อยสินค้าเน่าเสียง่ายให้แล้วเสร็จภายใน 6 ชั่วโมง และสำหรับสินค้าทั่วไปให้มีการตรวจปล่อยสินค้าให้แล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการมาขอใช้สิทธิภายใต้ RCEP กันมาก เนื่องจากสามารถวางแผนการนำเข้าส่งออกสินค้าล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
นายพิทักษ์กล่าวว่า ปัจจุบันการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองโดยผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต (Self-declaration by Approved Exporter) เป็น 1 ใน 2 รูปแบบของการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้ได้ตามความตกลง RCEP ในปัจจุบัน โดยผู้ส่งออกจะต้องมาขอขึ้นทะเบียนกับกรมฯ เพื่อเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาตก่อนจึงจะสามารถออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองได้ โดยในช่วง 2 เดือน ตั้งแต่ความตกลง RCEP มีผลใช้บังคับ มีผู้ส่งออกมาขอขึ้นทะเบียนกับกรมฯ แล้วจำนวน 22 ราย ประกอบด้วยผู้ส่งออกเครื่องประดับ อาหารสำเร็จรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
โดยตามประกาศกรมฯ ผู้ส่งออกที่ขึ้นทะเบียนสำหรับการรับรองตนเอง มีหน้าที่จะต้องรายงานรายละเอียดต่อกรมฯ ว่า มีหรือไม่มีการส่งออกภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยในเดือน ม.ค. 2565 ไทยยังไม่มีการส่งออกสินค้าที่ขอใช้สิทธิ์ด้วยรูปแบบของการรับรองตนเอง คาดว่าสาเหตุเนื่องมาจากผู้ส่งออกยังไม่มีความมั่นใจที่จะรับรองตนเองสำหรับการส่งออก โดยยังมีข้อกังวลว่าหนังสือรับรองที่ออกด้วยตนเองอาจถูกตรวจสอบจากศุลกากรของประเทศปลายทางมากกว่าการใช้ Form RCEP ที่ออกให้โดยกรมฯ และผู้ส่งออกที่จะรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองได้ จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเป็นอย่างดีด้วย
อย่างไรก็ตาม กรมฯ เห็นว่าการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออก จะเป็นประโยชน์ในการช่วยลดขั้นตอนในการออกเอกสารส่งออกและลดต้นทุนด้านเอกสารให้แก่ผู้ส่งออกได้ในระยะยาว จึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการใช้รูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองให้มากขึ้น และเพื่อเป็นการให้ความรู้และส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ตามความตกลง RCEP กรมฯ มีกำหนดจัดสัมมนาในทุกภูมิภาคเพื่อให้ความรู้ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต นครพนม มุกดาหาร สงขลา จันทบุรี และระยอง ช่วง เม.ย.-ก.ย. 2565 โดยขอให้ติดตามกำหนดการและการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาได้จากเว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th