ส.อ.ท.กางผลสำรวจ CEO Survey พบส่วนใหญ่ไม่หนุนขึ้นค่าไฟ-ก๊าซฯ เหตุกระทบ ศก.ค่อนข้างมากแนะให้ตรึงค่าเอฟทีงวดใหม่ (พ.ค.-ส.ค. 65) และก๊าซฯ โดยเฉพาะ NGV LPG ชั่วคราว เบรกราคาสินค้าขยับ เพิ่มค่าครองชีพประชาชน ดันเงินเฟ้อพุ่ง
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 15 ในเดือนมีนาคม 2565 ภายใต้หัวข้อ “ปรับขึ้นค่าไฟ-ก๊าซฯ กระทบเศรษฐกิจแค่ไหน” ซึ่งสำรวจจากผู้บริหาร ส.อ.ท.(CEO Survey) จำนวน 150 ท่านครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด ว่า จากผลสำรวจผู้บริหารส่วนใหญ่ 80.7% เห็นว่าภาครัฐบาลควรจะพิจารณาตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ในรอบเดือน พ.ค.-ส.ค. 2565 ต่อไป รวมถึงความเห็น 53.3% ควรตรึงราคาก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในการผลิต ขนส่ง และครัวเรือนชั่วคราวเพื่อดูแลเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบประชาชนท่ามกลางค่าครองชีพที่สูง
ทั้งนี้ ผลสำรวจตอกย้ำว่ากรณีภาครัฐจะมีการพิจารณาปรับอัตราค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซฯ ขึ้นต่อเนื่องนั้น ความเห็นส่วนใหญ่มองว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูงในขณะนี้ โดยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามความเห็นส่วนใหญ่ 87.3% ระบุว่าจะทำให้ราคาสินค้าต้องปรับตัวเพิ่มขึ้น รองลงมา 82% จะเป็นภาระค่าครองชีพของประชาชน 51.3% จะเป็นการเร่งอัตราเงินเฟ้อให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น และท้ายสุดคือทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวหรือหยุดชะงัก
“มาตรการที่จะบรรเทาผลกระทบได้นอกเหนือจากการตรึงค่าไฟและก๊าซฯ แล้ว เอกชนยังเห็นว่ามาตรการความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้า (Demand Response)โดยคืนผลประหยัดไฟฟ้าที่ลดได้ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า และมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มในส่วนของผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) เช่น ส่วนลดค่าไฟ คูปองลดราคาก๊าซ LPG NGV ก็เป็นมาตรการที่ควรนำมาพิจารณาเช่นกัน” นายวิรัตน์กล่าว
นายวิรัตน์กล่าวว่า จากผลสำรวจได้สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันค่าไฟฟ้าและพลังงานคิดเป็นสัดส่วนต่อต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยภาพรวม 20-30% ขณะที่แนวโน้มภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะมีการใช้ไฟฟ้าและพลังงานปี 2565 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2564 ต่อเนื่องจากการทยอยฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะส่งออก
โดยเมื่อถามถึงความเห็นภาคอุตสาหกรรมควรเตรียมรับมือผลกระทบในเรื่องนี้อย่างไร พบว่าส่วนใหญ่มุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อประหยัดพลังงาน หันไปผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงาน เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) มากขึ้น รวมไปถึงการนำระบบบริหารจัดการพลังงานมาใช้และปรับแผนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและการบำรุงรักษาและปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร