จับตาเศรษฐกิจไทยเจอโจทย์เปลี่ยน หลัง "โอมิครอน" เริ่มระบาดรวดเร็ว แถมเจอรัสเซียบุกยูเครนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งระยะสั้น รวมถึงระยะต่อไปที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรต่อการส่งออก แนะรัฐบาลเร่งรับมือหวั่นทำ ศก.ชะงัก ยันต้องไม่ล็อกดาวน์ หนุนดูแลราคาพลังงานช่วงวิกฤต
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยว่า ขณะนี้ไทยกำลังประสบกับโจทย์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่มองว่าจะคลี่คลายตามลำดับเพราะสายพันธุ์โอมิครอนไม่รุนแรงนัก แต่ล่าสุดการติดเชื้อเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ขณะเดียวกันยังมีประเด็นของกรณีรัสเซียบุกยูเครนที่ต้องติดตามใกล้ชิดถึงผลกระทบระยะสั้นและมาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติที่จะมีต่อรัสเซีย โดยโจทย์ดังกล่าวเป็นความท้าทายที่รัฐบาลจะต้องหามาตรการรองรับเพราะไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจปี 2565 ที่ชะลอตัวได้
“โจทย์เดิมที่เคยมองไว้เปลี่ยนไปพอสมควร แม้กระทั่งโควิด-19 ที่เวลานี้โอมิครอนกระจายค่อนข้างเร็วทำให้ผู้ติดเชื้อใหม่สูงทะลุ 2.5 หมื่นคนต่อวัน ขณะที่หากรวมการตรวจ ATK ก็ใกล้แตะ 5 หมื่นคนเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก หากยังสูงต่อเนื่องอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ” นายธนิตกล่าว
ทั้งนี้ การแพร่กระจายที่รวดเร็วทำให้รัฐต้องเร่งรับมือในการจัดหาสถานพยาบาลให้ทันท่วงที และมาตรการที่จะควบคุมให้อยู่ในลักษณะที่ไม่มีการลามไปยังโรงงาน ภาคการผลิตต่างๆ จนต้องปิดตัวลง โดยต้องร่วมมือกันป้องกันไม่ให้ย่ำแย่ไปกว่า เม.ย. 63 หากไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจจะลำบากทันที โดยเห็นด้วยกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่หนุนรัฐไม่ให้กลับไปล็อกดาวน์ประเทศ แต่รัฐควรสนับสนุนกิจกรรมบางประเภทให้อยู่บ้าน เช่น การเรียนการสอนออนไลน์แทน ขอความร่วมมือทำงานที่บ้านมากขึ้น เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อเพื่อประคองเศรษฐกิจ โดยเห็นว่าโครงการคนละครึ่งเป็นไปได้หรือไม่ที่ควรจะจ่ายให้ผู้มีรายได้น้อยจริงๆแทน
"โครงการคนละครึ่งผมคิดว่าเปลี่ยนเป็นไม่ต้องคนละครึ่งได้ไหมโดยเอาสิทธิ์จากคนที่ไม่ได้เดือดร้อนมาให้คนที่มีรายได้น้อยจริงๆ แทน และเด็กที่จะจบการศึกษาใหม่อีก 5.1 แสนคนที่กำลังออกมาจะทำอย่างไรให้เขามีงานทำเพื่อสร้างงานสร้างรายได้" นายธนิตกล่าว
สำหรับโจทย์ของรัสเซียและยูเครนเองระยะสั้นกระทบชัดเจนคือเรื่องราคาพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันที่สูงขึ้นรัฐจำเป็นต้องตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เช่นเดียวกับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพราะหากไม่ดูแลที่สุดราคาสินค้าจะทยอยขึ้นสูง และเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่การผลิตไม่คุ้มทุนก็จะยกเลิก ปัญหาต่างๆ จะตามมาและจะกลายเป็นวิกฤตเงินเฟ้อที่จำเป็นต้องระวัง ขณะเดียวกันยังต้องติดตามประเด็นการคว่ำบาตรต่อรัสเซียจากประเทศต่างๆ ที่ทยอยออกมาเพราะจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและการส่งออกของไทยไปยังประเทศต่างๆ
“รัฐบาลต้องเร่งดูแลค่าครองชีพให้เร็วเพราะจะเห็นว่าหนี้ครัวเรือนของไทยสูงมาก ทำอย่างไรต้องรักษาการจ้างงานเพื่อดูแลรายได้ เพื่อให้ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้สอยเพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียน โดยยอมรับว่าภาวะเงินเฟ้อของไทยแม้จะสูงแต่ไทยโชคดีที่เป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก ภาคเกษตรของไทยจะปกป้องปัญหาภาวะเงินเฟ้อได้ระดับหนึ่ง และหากเกิดภาวะสงครามรุนแรงบางครั้งก็อาจจะเป็นโอกาสก็เป็นไปได้ทุกอย่างจึงต้องติดตามใกล้ชิด” นายธนิตกล่าว
