การตลาด - CMO พลิกบทบาทใหม่ แปลงร่างจากธุรกิจอีเวนต์ อัปเลเวลจาก 1.0 เป็น 3.0 ก้าวสู่อีเวนต์ยุคใหม่ ติดปีกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ตอบโจทย์ลูกค้าแบบ 360 องศา ทั้งออนไลน์และออฟไลน์แบบวันสตอปเซอร์วิส พร้อมขยายบริการจาก B2B สู่ B2C ผ่านธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์ ด้วยการสวมหมวกเป็นโปรโมเตอร์ ดึงไอดอลเกาหลี และนักร้องดังระดับโลกฝั่งอเมริกาและยุโรปมาจัดคอนเสิร์ตในไทย ปักธงรายได้ 2,500 ล้าน ภายใต้งบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท
CMO ลูกพี่ใหญ่แห่งวงการธุรกิจอีเวนต์เป็นที่รู้จักกันในวงการร่วม 40 ปี ล่าสุดเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นใหม่ ส่งผลให้ CMO กลับมาฉายแสงให้ได้จับตามองกันอีกครั้ง เพราะงานนี้ไม่ได้มาเล่นๆ แต่มาพร้อมภาพลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัย จากธุรกิจอีเวนต์แปลงร่างสู่บริษัทเทคโนโลยี ก้าวจากอีเวนต์ Web 1.0 ที่เน้นธุรกิจอีเวนต์เป็นหลัก จากนี้จะขยายสู่ Web 2.0 สู่ธุรกิจดิจิทัล และล้ำขึ้นไปอีกขั้นกับ Web 3.0 กับประสบการณ์ในโลก Blockchain และ Metaverse
“วันแรกที่เข้ามาเห็นอาณาจักร CMO ตื่นเต้นมาก ผู้บริหารชุดเดิมทำไว้ดีอยู่แล้ว ทุกอย่างที่เห็น สถานที่และอุปกรณ์ที่มีอยู่ พบว่าสามารถเป็นได้มากกว่าอีเวนต์ รากฐานเดิมที่มีอยู่ต่อยอดได้ เช่น เอนเตอร์เทนเมนต์ ในรูปแบบโปรโมเตอร์ ทำเอง มีทีมงาน ทำได้ คอนเสิร์ตเกาหลี อเมริกา ดึงมาได้ จากธุรกิจอีเวนต์แบบแอนะล็อก ปัจจุบันเพิ่มเรื่องเทคโนโลยีเข้าไป เพราะ Tec ยังเป็นสิ่งยังไม่มี จะทำให้ CMO ก้าวต่อไปได้อย่างก้างกระโดด” กิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ CEO คนใหม่ของ บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) ได้ฉายภาพความประทับใจแรกตอนเดินเข้ามายังออฟฟิศของ CMO ที่มาพร้อมกับแนวทางที่จะพา CMO ก้าวเดินต่อไปให้ได้ฟัง
และการเข้ามาบริหารงาน CMO ในครั้งนี้ มุ่งเติบโตผ่านการเปลี่ยนแปลงใน 3 ด้าน คือ 1. เปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจมาทางเทคโนโลยี 2. ปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้บริหารใหม่ เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจใหม่ 3. การรีแบรนด์ เพราะภาพลักษณ์เดิมไม่ตอบโจทย์ความทันสมัยและเทคโนโลยี
“การเข้ามาบริหารงานในครั้งนี้จะมุ่งใน 3 ข้อนี้ก่อน โฟกัสจะให้บริการแบบ 360 องศาทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ทำโลโก้ใหม่ ที่มากับนิยามใหม่ รวมถึงตกแต่งออฟฟิศใหม่อีกส่วนหนึ่งด้วย” CEO กล่าว
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา CMO มีพื้นฐานธุรกิจที่เข้มแข็งและปรับตัวได้รวดเร็ว ทำให้ยังคงมีรายได้หลักหลายร้อยล้านบาท และเคยพุ่งสูงกว่า 1,300 ล้านบาทในปี 2562 ด้วยเหตุนี้ CMO จึงเป็นองค์กรที่มีฐานที่มั่นคง เมื่อเทียบกับธุรกิจเดียวกันในตลาด และจากการเข้ามาของผู้บริหารชุดใหม่ ที่เน้นเติมเต็มธุรกิจเทคโนโลยี พร้อมการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี
นายกิติศักดิ์กล่าวอีกว่า หลังจากวันนี้ สิ่งที่คิดไว้เสมอ คือ ความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ที่จะพา CMO เติบโตแบบก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นการทำ M&A ซินเนอร์ยีกับบริษัทที่เอื้อต่อการขยายธุรดิจ เพราะวันนี้ไม่มีเวลามาปั้นเองแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี จึงกำลังศึกษาอยู่ 6 บริษัท เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลก คาดว่าภายในเดือน พ.ค.นี้จะสรุปออกมาได้ ภายใต้แนวทางเบื้องต้นที่มองไว้ คือการเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 40-60%
“ภาพของ CMO จากเดิมที่ทำธุรกิจอีเวนต์แบบแอนะล็อก จากนี้จะก้าวสู่บริษัทด้านเทคโนโลยี โดยยังคงมีรากฐานธุรกิจหรือคอร์บิสิเนสเป็นอีเวนต์ที่จะต่อยอดด้วยเทคโนโลยี ให้บริการครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม แบบครบวงจร 360 องศา ภายใต้งบลงทุน 800 ล้านบาท จะเพิ่ม 2 ธุรกิจใหม่ คือ เอนเตอร์เทนเมนต์ และเทคโนโลยี มั่นใจดัน Market Cap โตกว่าหมื่นล้านบาทในปีนี้ และภายในปี 2566 กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักต่อไป ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60%” นายกิติศักดิ์กล่าว
ด้านนายอริยะ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ในวันนี้ CMO จะทรานส์ฟอร์มสู่นิวเจน ซี่งจะเห็นได้ว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมารูปแบบการจัดอีเวนต์เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่เรามองวิกฤตเป็นโอกาสในการเข้าสู่โลกดิจิทัล ถ้าองค์กรไม่เปลี่ยนแปลงก็อยู่ไม่รอด จะต้องทรานส์ฟอร์ม โดยเป้าหมายของเราคือเข้าสู่ Web 3.0 สิ่งที่จะสร้างและมองไว้คือเรื่องของ เมตาเวิร์ส
จากนี้หัวใจสำคัญของ CMO คือการเป็นผู้นำสร้างประสบการณ์จากของที่มีอยู่ในมือเสริมทัพด้วยเทคโนโลยี สู่ภาพลักษณ์ใหม่ในการเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีเต็มตัว ที่จะสร้าง Total experience อันล้ำสมัยและน่าสนใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ด้วย กลยุทธ์ 5 E อันได้แก่
1. Event ซึ่งถือเป็นคอร์บิสิเนส ที่จะยังคงเป็นตัวสร้างฐานรายได้หลัก ซึ่งไม่ได้หายไปไหนแต่จะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ที่ผ่านมา CMO มีรายได้ปีละ 1,300-1,400 ล้านบาท ซึ่งมาจากอีเวนต์จริงๆ ร่วม 1,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นอื่นๆ รวมกัน อีเวนต์จึงยังสำคัญควรเก็บไว้
2. Equipment เป็นธุรกิจเดิมที่เกี่ยวกับอุปกรณ์การจัดอีเวนต์ที่ถือว่ามีครบ อยู่ภายใต้บริษัท PM CENTER สามารถรองรับงานได้มากกว่าการจัดอีเวนต์ทั่วไป เช่น คอนเสิร์ต งานใหญ่ๆ ระดับโลก เป็นต้น จากนี้จะทำไลติ้งซาวนด์ ซื้ออุปกรณ์เพิ่ม ทำเรื่องให้เช่าอุปกรณ์ให้บริการแบบเซตระบบ ให้บริการไลทงติ้งสเตเดียม สวน ตึก และอื่นๆ
3. Entertrainment เป็นธุรกิจใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามา ในการเป็นโปรโมเตอร์นำเข้าคอนเสิร์ตใหญ่จากต่างประเทศ ทั้งฝั่งเกาหลีและอเมริการวมถึงยุโรปด้วย จากที่เป็นเบื้องหลังจะมาเป็นเบื้องหน้าจัดงานเอง เช่น ไลฟ์โชว์ โชว์บิซ มิวสิกเฟสติวัล และเวิลด์เฟส เป็นต้น ภายใต้ CM Entertrainment ที่รองรับงานได้ทุกไซส์ ตั้งแต่ระดับ 40,000 ที่นั่ง อย่างสเตเดียมหัวหมาก รวมถึง 12,000 ที่นั่ง และ 5,000 ที่นั่ง เป็นต้น ถ้าเป็นไปได้ครึ่งปีหลังจะเห็นนำเข้าคอนเสิร์ต 16-20 งาน ถือเป็นธุรกิจจาก B2B สู่ B2C ที่มีอนาคตอย่างมาก
4. END-TO-END 2.0 เป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีการตลาดครบวงจรที่ควบรวมเข้ามาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ได้แก่ Digital Agency, Social Listening, Influencer Platform, Employee Engagement Platform และ CRM
5. EXPERIENCE 3.0 เป็นกลุ่มธุรกิจดิจิทัลที่ตอบโจทย์ธุรกิจแห่งอนาคต ประกอบด้วย Metaverse Studio ซึ่ง CMOได้ร่วมมือกับบริษัท Blockchain ระดับโลก รวมถึงการสร้าง Digital Assets ที่มาเชื่อมโยงกับธุรกิจบันเทิงและ Decentralized commerce เป็นต้น โดยจะมีการสร้างสตูดิโอเมตาเวิร์สรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่มองค์กรแบรนด์สินค้าและผู้บริโภค ยกตัวอย่างเช่นการเดินทางที่ดีขึ้นทั้งทางรถยนต์และสายการบิน ส่วน Digital Assets จะมีการทำเรื่อง NFT มาเสริมธุรกิจด้วย
ล่าสุด บริษัทพร้อมจับมือกับ Strategic Tech Partner 6 รายเพื่อเป็นกลไกที่สำคัญในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ประกอบด้วย 1. Transformational เป็นบริษัทที่ทำเรื่องของ Digital Transformation 2. Brand Baker เป็นบริษัทด้าน Digital Agency 3. Shopgenix เป็นบริษัทที่ทำในเรื่องของ Affiliate Commerce 4. WeLink บริษัทด้าน Loyalty Platform 5. Redex เป็นบริษัทด้าน Employee Engagement Platform และ 6. ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้แต่เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน Social Listening & CRM Platform
สำหรับแผนนำ CMO สู่ TEC ในครั้งนี้ เบื้องต้นวางงบลงทุนไว้กว่า 800 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของเอนเตอร์เทนเมนต์ 300 ล้านบาท และงบ END-TO-END 2.0 และ EXPERIENCE 3.0 ในการเข้าร่วมกองทุนบริษัทในสิงคโปร์อีก 500 ล้านบาท เชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวจะพา CMO ก้าวไปสู่การทำธุรกิจระดับเอเชียและระดับโลกต่อไป หรือในปีนี้บริษัทจะมีรายได้ 2,500 ล้านบาทมาจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1. ธุรกิจเดิม (อีเวนต์และอีควิปเมนต์) 70% มูลค่า 1,300-1,500 ล้านบาท 2. เอนเตอร์เทนเมนต์ 20% มูลค่า 500-800 ล้านบาท และ 3. เทคโนโลยี 10% มูลค่า 400-500 ล้านบาท