OR ทุ่มงบลงทุน 5 ปีนี้ 9.35หมื่นล้าน เน้นลงทุนธุรกิจ Lifestyle หวังดัน EBITDA ขยับเพิ่มขึ้นจาก 21% เป็น 39% ลั่นปีนี้ปิดดีล JV และ M&A ราว3-4 โครงการ เน้นธุรกิจด้านสุขภาพและท่องเที่ยว มั่นใจปีนี้โตต่อเนื่อง แม้ว่าได้รับผลกระทบจากมาตรการลดภาษีดีเซล 3 บาท/ลิตรทำขาดทุนสต๊อกน้ำมัน 200 ล้านบาท แต่ค่าการตลาดปรับสูงขึ้น
นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุน 5 ปีนี้ (2565-2569) จำนวน 93,462 ล้านบาท โดยใช้ลงทุนในธุรกิจ Mobility สัดส่วน 36% ธุรกิจ Lifestyle 22% ธุรกิจ Global 14% ธุรกิจ Innovation & New Business 20% และอื่นๆ 7% ของงบลงทุน
โดยตั้งเป้าหมายจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ใน 5 ปีนี้มาจากธุรกิจ Mobility สัดส่วน 45% ลดลงจากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 76% เนื่องจากบริษัทให้ความสำคัญในการลงทุนธุรกิจ Lifestyle มากขึ้นเนื่องจากให้มาร์จิ้นที่สูง ส่งผลให้ EBITDA ในธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 39% จากปัจจุบัน 21% ธุรกิจ Global 15% จากเดิม 3% ธุรกิจ Innovation & New Business
ดังนั้นในปี 2565 กำหนดงบลงทุนไว้ที่ 26,949 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ Mobility จำนวน 9,002 ล้านบาท ธุรกิจ Lifestyle ประมาณ 6,876 ล้านบาท ธุรกิจ Global 4,374 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจ Innovation & New Business ประมาณ 3,768 ล้านบาท และอื่นๆ อีก 2,929 ล้านบาท
โดยปีนี้จะขยายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ในไทยเพิ่มอีก 129 แห่ง จากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 2,080 แห่ง ร้านคาเฟ่ อเมซอน เพิ่มอีก 389 แห่งจากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 3,607 แห่ง, ร้านไก่ทอดเท็กซัส เพิ่มอีก 20 แห่ง ขยายสถานีชาร์จรถไฟฟ้า EV Station PluZ เพิ่มอีก 200 แห่งรวมเป็น 300 แห่งในสิ้นปีนี้ รวมทั้งจะขยายไปนอกปั๊มด้วย ส่วนต่างประเทศ มีแผนขยาย PTT Station เพิ่มอีก 73 แห่ง จากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 359 แห่ง และร้านคาเฟ่ อเมซอน เพิ่มอีก 129 แห่ง จากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 324 แห่ง
รวมทั้ง OR มีแผนสร้างคลังแห่งใหม่ในกัมพูชาเพื่อรองรับความต้องการใช้เชื้อเพลิงในกัมพูชา ส่วน สปป.ลาว บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิเพื่อให้บริษัทเป็นผู้ค้าเมล็ดกาแฟจำหน่ายในลาวหรือส่งออก สำหรับจีนก็มีแผนที่จะเปิดร้านคาเฟ่ อเมซอนในมณฑลอื่นเพิ่มเติม จากที่เปิดในมณฑลหนานหนิง ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศนั้น บริษัทมีนโยบายร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น เพื่อให้การทำธุรกิจได้รวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อร่วมทุน (JV) และการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) อยู่หลายโครงการ คาดว่าปีนี้จะเห็นการปิดดีลได้ 3-4 โครงการเป็นธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและท่องเที่ยว เพื่อเติมเต็มธุรกิจ Lifestyle รวมทั้งรับรู้กำไรจากการลงทุนร่วมกับพันธมิตรหลายรายในปีที่แล้ว รวมถึงการประหยัดต้นทุนราว 200 ล้านบาทจากการลงทุน 3 โรงงาน ได้แก่ การเปิดดำเนินการศูนย์กระจายสินค้าสำหรับธุรกิจค้าปลีก โรงงานผลิตผงผสมเครื่องดื่ม Café Amazon และโรงงานผลิตเบเกอรี Café Amazon ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเมื่อกลางปี 2564
นางสาวจิราพรกล่าวต่อไปว่า ในปี 2565 บริษัทมียอดขายน้ำมันโตต่อเนื่องตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ GDP ไทยโต 3.5-4.5% จากปีก่อนโต 1,112.6% ขณะที่เงินเฟ้อในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 1.2% เป็น 1.7% จะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก รวมทั้งมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อหนุน และการท่องเที่ยวที่คาดการณ์ว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยปีนี้ราว 5.6 ล้านคนจากปีก่อนมีเพียง 3 แสนคน ขณะที่ภาพรวมราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ 78 เหรียญหารัฐ/บาร์เรล สูงขึ้นกว่าปี 2564 จะช่วยหนุนมาร์จิ้นด้วย แม้ว่าภาครัฐจะปรับลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 3 บาทต่อลิตร และส่งผลกระทบให้ OR ขาดทุนจากการสต๊อกน้ำมันทันทีประมาณ 200 ล้านบาท แต่ในระยะยาวคาดว่าจะส่งผลดีต่อค่าการตลาด ซึ่งการลดภาษีก็มีส่วนทำให้ค่าการตลาดขยับดีขึ้น และกระตุ้นการใช้น้ำมัน
นางสาวจิราพรกล่าวว่า ในปี 2564 OR ได้ปรับทิศทางในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตของธุรกิจ พร้อมกับการเติบโตของผู้คนและสิ่งแวดล้อม OR จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน” หรือ “Empowering All Toward Inclusive Growth” และได้กำหนดพันธกิจใหม่เพื่อสร้างให้เกิดการเติบโตร่วมกัน โดยผ่านการดำเนินธุรกิจ 4 ด้าน คือ การสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพลังงานแบบผสมผสานเพื่อการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ (Seamless Mobility) การมุ่งมั่นสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตแบบครบวงจรเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ (All Lifestyles) การขยายฐานธุรกิจเพื่อสร้างความสำเร็จและการยอมรับในตลาดโลก (Global Market) และการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับสู่นวัตกรรมในแบบฉบับ OR (OR Innovation)
"บริษัทมีเป้าหมายที่จะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจ Mobility ในการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน และขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจไปเป็นธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน (Energy Solution Ecosystem) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นสู่การใช้พลังงานสะอาด สำหรับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มุ่งรักษาความเป็นผู้นำในตลาดร้านกาแฟ รวมทั้งแสวงหาพันธมิตรธุรกิจใหม่ๆ รวมถึง Start-up ที่มีศักยภาพในการเติบโตและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ OR เพื่อสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตที่ครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ สำหรับกลุ่มธุรกิจ Global มุ่งขยายฐานการดำเนินธุรกิจสู่ตลาดโลก โดยใช้ประโยชน์จากแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับ ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจของ OR ผสมผสานและปรับผลิตภัณฑ์ของ OR ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแต่ละประเทศ และสำหรับกลุ่มธุรกิจ OR Innovation OR มุ่งเน้นการสร้างธุรกิจที่แก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยใช้ศักยภาพที่ OR มีอยู่ร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ในการร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อสร้างตลาดใหม่และธุรกิจใหม่ เพื่อยกระดับสู่นวัตกรรมในแบบฉบับ OR"
ด้านผลการดำเนินการปี 2564 OR มีรายได้ขายและบริการ 511,799 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 11,474 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,683 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.5% ทั้งจากรายได้ขายและบริการ และ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้เสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2564 ที่อัตรา 0.19 บาทต่อหุ้น โดยจะจ่ายในวันที่ 28 เมษายน 2565