ผู้จัดการรายวัน 360 - ซีอาร์ซีเปิดแผน 5 ปี ทุ่มงบลงทุนแสนล้านบาทสยายปีกต่อเนื่อง โหมหนักออมนิแชนเนล ซุ่มนำแบรนด์เข้าขายทางเมตาเวิร์ส สร้างธุรกิจใหม่ขาที่ 5 เวลเนส เสริมทัพ
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางงบลงทุนในช่วง 5 ปีจากนี้ (ปี พ.ศ. 2565-2569) รวมทั้งสิ้น 100,000 ล้านบาท ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยแบ่งเป็น งบ 70,000 ล้านบาทเพื่อใช้ในการขยายสาขารูปแบบออฟไลน์และรีโนเวต ส่วนอีก 30,000 ล้านบาทใช้ในด้านเทคโนโลยี ไอที ซอฟต์แวร์
โดยตั้งเป้าผลประกอบการในปี 2569 จะมีการเติบโตในทุกมิติ ด้านรายได้เติบโต 2.5 เท่า EBITDA เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า และ Market Cap เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า จากปัจจุบัน ด้วยรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของ Next-Gen Omni Retail ผนวกกับ CRC Data Ecosystem เซ็นทรัล รีเทล จะเป็นผู้นำอีกครั้งหนึ่งในการ Reshape Retail Industry ผ่าน CRC Retailligence และมี CRC Data Ecosystem มาเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ พร้อมมอบประสบการณ์ที่เชื่อมต่อโลกทั้งสองใบ ผ่าน Next-Gen Omni Retail ซึ่งขณะนี้เตรียมที่จะนำธุรกิจแบรนด์หนึ่งในเครือเข้าไปจำหน่ายในช่องทางเมตาเวิร์ส
ซีอาร์ซีได้วาง 4 ยุทธศาสตร์ในการรุกธุรกิจ ประกอบด้วย 1. Reinvent Next-Gen Omni Retail - ยกระดับแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลผ่านการเชื่อมโลกจริงและโลกเสมือนจริง โดยใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อมอบประสบการณ์การชอปปิ้งเหนือระดับในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งฟูด แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ รวมถึงกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ครอบคลุมทั่วประเทศทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี 2. Accelerate Core Leadership - เร่งการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจหลักของ เซ็นทรัล รีเทล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ระดับสากล 3. Build New Growth Pillars - เดินหน้าสร้างธุรกิจใหม่ โดยเริ่มจากกลุ่ม Wellness รวมถึงเซกเมนต์อื่นๆ ที่เป็นไปตามเทรนด์ของโลกและความต้องการของผู้บริโภค 4. Drive Partnership, Acquisition and Spin Off ขยายธุรกิจภายใต้แนวคิด Inclusive Growth สร้างความสำเร็จร่วมกันกับพาร์ตเนอร์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ธุรกิจหลักเดิมของซีอาร์ซี ขณะนี้มี 4 ขาใหญ่ คือ 1. อาหาร, 2. แฟชั่น, 3. ฮาร์ดไลน์ และ 4. อสังหาริมทรัพย์ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขาใหม่อีก คือ 5. ธุรกิจด้านเวลเนส และสุขภาพ
นายญนน์กล่าวถึงผลประกอบการที่ผ่านมาด้วยว่า หลังจากที่ซีอาร์ซีได้เข้าสู่ระบบออมนิแชนเนลมาได้ประมาณ 2 ปีพบว่ามีการเติบโตมากกว่า 500% และมีจำนวนลูกค้าที่เข้าสู่ระบบออมนิแชนเนลประมาณ 2-3 ล้านคนจากจำนวนลูกค้าที่มี 18 ล้านคน ตั้งเป้าหมายอีก 5 ปีจากนี้จะมีจำนวน 50% ของลูกค้าทั้งหมดที่มาใช้ระบบออมนิแชนเนล การซื้อสินค้าผ่านออมนิแชนเนลมีมากกว่า 2 เท่า มีการใช้จ่ายมากกว่าช่องทางเดียว 5 เท่า ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ที่มาจากออมนิแชนเนลเมื่อสิ้นปีที่แล้ว (ปี 2564) มีประมาณ 20% ขณะที่ปี 2563 มีสัดส่วน 10% ส่วนปี 2562 มีสัดส่วน 3% โดยแบ่งสัดส่วนรายได้จากในไทย 70% และต่างประเทศคือ เวียดนาม 20% และอิตาลี 10%
นายญนน์กล่าวว่า “โลกจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ใน 5 เทรนด์สำคัญ เราต้องเตรียมความพร้อมและปรับตัว เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคและเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยสรุป 5 เทรนด์ ดังนี้
1. A New Consumer Paradigm : พฤติกรรมของผู้บริโภคจะพลิกไปสู่รูปแบบใหม่ ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือนจริง ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบเดิมอย่างสิ้นเชิงและรวดเร็ว
2. Scaling in the Era of Digital Acceleration : โลกจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเทคโนโลยีและดิจิทัลเป็นตัวเร่ง
3. The Future of Wellness : ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นในการดูแลสุขภาพ และการใช้ชีวิตให้ถูกสุขลักษณะ โดยจะมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวเชื่อม ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตได้ครบวงจร
4. Partnership for Inclusive Growth : การร่วมมือกันระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจ จะมุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จและการเติบโตไปด้วยกัน
5. Sustainability Agenda for All : การมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสังคมและดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เป็นเรื่องสำคัญของทุกคนและทุกภาคส่วน
“เซ็นทรัล รีเทล จะเป็นผู้นำอีกครั้งหนึ่งในการ Reshape Retail Industry ผ่าน CRC Retailligence และมี CRC Data Ecosystem มาเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในโลกจริงและโลกเสมือนจริง นำเสนอสินค้าและบริการในรูปแบบ Hyper-Personalization บนฐานข้อมูลที่เจาะลึก Customer Insight ด้วยการมอบประสบการณ์ “Now Moment” ให้แก่ลูกค้าแบบเรียลไทม์ เข้าไปมีส่วนร่วมและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ลูกค้า พร้อมมอบประสบการณ์ที่เชื่อมต่อโลกทั้งสองใบ ผ่าน Next-Gen Omni Retail เราจะเป็นคนที่รู้จักและรู้ใจลูกค้าอย่างดีที่สุด เซ็นทรัล รีเทล จะสร้างโลกใหม่ของค้าปลีกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน” นายญนน์กล่าว
นายญนน์กล่าวด้วยว่า บรรยากาศการจับจ่ายและกำลังซื้อในครึ่งปีแรกนี้มีแนวโน้มที่จะดีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับการกระตุ้นของรัฐบาลด้วยว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาอีกบ้าง อย่างไรก็ตาม กลุ่มรายได้ระดับล่างจะกระทบมากจากปัญหาเศรษฐกิจเวลานี้ ส่วนระดับกลางและสูงกำลังซื้อยังดีอยู่ ส่วนมาตรการที่ออกมาต่างๆ ก็ถือว่าดี เช่น ช้อปดีมีคืน ที่มีวงเงิน 30,000 บาท ซึ่งตนเองในนามของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้เคยนำเสนอทางภาครัฐแล้วว่าน่าจะเพิ่มวงเงินเป็น 100,000 บาท จะยิ่งทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีก สำหรับภาวะราคาสินค้าที่สูงขึ้นในขณะนี้ ได้ร่วมมือกับสมาชิกสมาคมฯ ด้วยกันให้ตรึงราคาสินค้าไว้ก่อนประมาณ 3 เดือนหรือช่วงไตรมาสแรกนี้