“ศักดิ์สยาม” ยอมเบรกย้ายรถไฟไป "บางซื่อ" คงเดินรถเข้าหัวลำโพงตามปกติทุกขบวน สั่ง รฟท.เช็กลิสต์ผลกระทบทุกด้านใน 30 วัน ทั้งประชาชน การขนส่ง และจราจร ด้านผู้ว่าฯ รฟท.เตรียมแถลงพรุ่งนี้ (21 ธ.ค.) ขณะที่สายสีแดงผู้โดยสารเฉลี่ยกว่า 1 หมื่นคน/วัน สั่งเร่งทำฟีดเดอร์เข้าสถานีรังสิตเพิ่มความสะดวก
วันที่ 20 ธ.ค. 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ครั้งที่ 8/2564 เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานการให้บริการหลังการเปิดบริการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) อย่างเป็นทางการ และการดำเนินการในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในฐานะประธานกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) นายพิเชษฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณ หัวหน้าหน่วยงานและผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบผลการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น “อนาคตสถานีหัวลำโพง ประวัติศาสตร์คู่การพัฒนา” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 ณ ตึกปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ บมจ.อสมท โดยมีรองปลัดกระทรวงคมนาคม รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง ผู้ช่วยผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ร่วมชี้แจง โดยได้นำเสนอเหตุผลความจำเป็นในการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ และการเปลี่ยนผ่านการเป็นสถานีหลักในการเชื่อมต่อระบบรางของประเทศจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ไปยังสถานีกลางบางซื่อ และการพัฒนาสถานีหัวลำโพงในอนาคต ซึ่ง รฟท.จะได้นำข้อเสนอจากภาคประชาชนจากการรับฟังความคิดเห็นเพื่อไปปรับปรุงการดำเนินการให้มีความเหมาะสมต่อไป
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ได้มีข้อสั่งการให้ รฟท.ดำเนินการจัดทำเช็กลิสต์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญ และสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องร่วมให้คำแนะนำ เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อประชาชน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมต่อของประชาชนและการขนส่งสินค้า การอำนวยความสะดวกด้านการจราจรและความปลอดภัยในการเดินรถ โดยให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 30 วัน โดยการดำเนินการทุกขั้นตอนจะต้องเป็นไปตามผลการศึกษา ข้อกฎหมาย มติ ครม.ที่เกี่ยวข้อง ก่อนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการจัดทำแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องต่อไป
โดยในระหว่างการดำเนินการดังกล่าว ให้ รฟท.ยังคงรูปแบบการเดินรถไฟทุกขบวนเข้าสู่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ทั้งขบวนรถเชิงพาณิชย์และเชิงสังคมตามเดิม รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและผู้ใช้บริการทราบต่อไป
รายงานข่าวจาก รฟท.เปิดเผยว่า ข้อสรุปในการประชุมครั้งนี้ ทำให้ในวันที่ 23 ธันวาคม 2564 นี้ รฟท.ยังคงเดินรถไฟทุกขบวนในปัจจุบันเข้าสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ตามปกติ โดยมีรถไฟทางไกล รถไฟเชิงสังคมจำนวน 118 ขบวน ทั้งนี้เนื่องจากใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ซึ่งจะมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนการเดินรถจากหัวลำโพงไปสถานีกลางบางซื่อ โดยจะมีเวลาในการศึกษาข้อมูลรอบด้านให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน จากนั้นมาพิจารณาปรับปรุงต่อไป
@สายสีแดงผู้โดยสารเฉลี่ยกว่า 1 หมื่นคน/วัน สั่งเร่งทำฟีดเดอร์เชื่อมสถานีรังสิต
นายศักดิ์สยามกล่าวถึงโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ซึ่งเริ่มเก็บค่าโดยสารตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 พบว่า ปัจจุบันมียอดผู้โดยสารโดยเฉลี่ยวันละ 10,267 คน ซึ่งมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนพฤศจิกายนมีผู้โดยสารรวม 265,038 คน เพิ่มขึ้น 31.96% จากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ รฟท.ได้ดำเนินการเชิงรุกเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาลักลอบตัดสายอาณัติสัญญาณในระบบรถไฟฟ้า เช่น การเฝ้าระวังจากระบบเตือนที่ศูนย์ควบคุม จัดให้มีการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นต้น และในพื้นที่สถานีกลางบางซื่อได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการใช้บริการของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรองรับการให้บริการรถไฟทางไกลของ รฟท.ในอนาคต
ส่วนการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเพื่อการเชื่อมต่อการเดินทางสถานีรังสิต หรือระบบ Feeder นั้น กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ประชุมคณะทำงานเพื่อจัดให้มีระบบขนส่งสาธารณะเพื่อเชื่อมต่อรถไฟสายสีแดงที่สถานีรังสิต เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 โดยที่ประชุมรับทราบวัตถุประสงค์โครงการและกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูล แนวทางการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น และมีการลงพื้นที่สำรวจด้านกายภาพของเส้นทางเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2564
สำหรับค่าโดยสาร เมื่อเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ใน 3 ปีแรก (2565-2568) จะมีค่าแรกเข้า 12 บาท และอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง 1.5 บาทต่อกิโลเมตร กำหนดอัตราค่าโดยสารสูงสุดในการเดินทางหนึ่งเที่ยวไม่เกิน 42 บาท เมื่อถึงปีที่เอกชนดำเนินการให้เสนอใช้อัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ รฟท.ได้ประชาสัมพันธ์ตารางอัตราค่าโดยสาร (Fare Table) ให้ประชาชนทราบล่วงหน้าแล้ว โดยสามารถชำระค่าโดยสารได้ทั้งเหรียญโดยสาร (Token) และบัตรโดยสารทั้งบัตรเติมเงินสำหรับการเดินทางแบบเที่ยวเดียว และบัตรโดยสารแบบรายเดือน