บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ได้รับคัดเลือกเป็นบริษัทจดทะเบียนกลุ่มหลักทรัพย์ ESG 100 ประจำปี 2564 จากสถาบันไทยพัฒน์ สะท้อนการบริหารจัดการธุรกิจด้วยความโปร่งใส โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment Social and Governance : ESG) เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร และมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า การได้รับการจัดอันดับอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG 100 ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (Agro & Food Industry) เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างเข้มแข็งและรอบด้าน มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายความยั่งยืนระดับสากล สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) เพื่อสร้างสมดุลการดำเนินธุรกิจในมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงและการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงความเชื่อมั่นให้แก่คู่ค้าธุรกิจ นักลงทุน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนจากวิกฤตโควิต-19 ภายใต้ปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน คือ ประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน และบริษัทเป็นลำดับสุดท้าย
“การได้รับคัดเลือกจัดอันดับครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นถึงจุดยืนของซีพีเอฟในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ส่งมอบอาหารปลอดภัย มีโภชนาการที่ดี ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคต เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความมั่นใจให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย จากการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งความสำเร็จในวันนี้ นอกจากจะมาจากนโยบายที่ดีแล้ว พนักงานและบุคลากรยังเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญในการทำกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ การมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม การทุ่มเทของบุคคลในการสร้างสรรค์สังคมที่ดี” นายประสิทธิ์กล่าว
นายประสิทธิ์กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาของการแพร่ระบาดของโควิด-19 นับเป็นความท้าทายของการบริหารธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงัก ด้วยการดูแลพนักงานในประเทศไทย 70,000 คน และครอบครัวของพนักงานให้มีสุขภาพดีและปลอดภัย และส่งต่อนโยบายดังกล่าวไปยังกิจการในต่างประเทศเพื่อความปลอดภัยของทุกคน ควบคู่ไปกับการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในฐานะ “พลเมืองที่ดี” (Good Corporate Citizen) จากการส่งมอบอาหารให้แก่คนไทยทุกกลุ่มตลอดระยะเวลา 2 ปี รวมถึงใส่ใจสมดุลสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงานหมุนเวียนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อร่วมบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
นอกจากนี้ บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบความปลอดภัยทางอาหารตามแนวทางการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน และนโยบายการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรในเกิดประโยชน์สูงสุดด้านพลังงาน ทรัพยากรน้ำ และขยะอาหารตามเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน สะท้อนความชัดเจนและต่อเนื่องของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจตามวิถียั่งยืน
ด้าน ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า การที่ซีพีเอฟจัดอันดับอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG 100 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอย่างโดดเด่นโดยคำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่การผลิต ตลอดจนผลตอบแทนต่อนักลงทุน
“ซีพีเอฟมีความสำเร็จหลายด้าน โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อม การเข้าไปดูแลซัปพลายเชน ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ บริษัทฯ มีการดำเนินงานด้าน ESG อย่างครบถ้วน และเป็นแนวโน้มที่บริษัทจดทะเบียนหันมาดำเนินการมากขึ้น” ดร.พิพัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ การจัดอันดับ ESG 100 พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่กัน โดยในปี 2564 มีการคัดเลือกจาก 824 หลักทรัพย์จดทะเบียน ซึ่งซีพีเอฟเป็นบริษัทที่เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG 100 ในปี 2558 เป็นปีแรก และในปีนี้บริษัทฯได้รับการจัดอันดับเป็นปีที่ 5