ภาวะโลกร้อนกลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกำลังมุ่งเน้นการแก้ไขเนื่องจากส่งผลต่อระบบนิเวศต่างๆ ที่เห็นผลกระทบได้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป ภาวะน้ำท่วมรุนแรง อากาศหนาวเย็นผิดปกติ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ฯลฯ ปัจจัยดังกล่าวล้วนทำให้ทั่วโลกต่างมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืนมากขึ้น โดยคำนึงถึงองค์ประกอบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
“ความยั่งยืน” ไม่ใช่เพียงวาทกรรมสวยหรู หากแต่ต้องเกิดจากความร่วมมือทุกฝ่ายและต้องอาศัยเวลาเช่นเดียวกับการพัฒนา จ.ระยองสู่ “บ้านเราน่าอยู่ สังคมยั่งยืน” ที่เป็นความตั้งใจแน่วแน่ของสมาคมเพื่อนชุมชนซึ่งเกิดจากการรวมตัวของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดคอมเพล็กซ์ (MTP) โดยการริเริ่มของ 5 กลุ่มบริษัทนำร่อง ได้แก่ กลุ่ม ปตท. เอสซีจี บีแอลซีพี ดาวประเทศไทย และ บมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) โดยมีเป้าหมายการพัฒนาระยองสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town) ในระดับสูงสุด หรือระดับ “Happiness” เพื่อให้ระยองเป็นเมืองต้นแบบ “เมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรม” ของประเทศไทย
ปัจจุบันสมาชิกสมาคมเพื่อนชุมชนมีทั้งสิ้น 17 กลุ่มบริษัท และผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาได้จับมือกับภาครัฐและชุมชนเพื่อยกระดับการพัฒนาทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมผ่านการดำเนินงานในหลายโครงการ โดยหนึ่งในโครงการที่สำคัญที่สอดรับกับวิสัยทัศน์ของสมาคมเพื่อนชุมชนคือ โครงการพัฒนาและยกระดับการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ หรือ Eco Industrial Town โดยเริ่มจากความมุ่งมั่นให้ทุกโรงงานในกลุ่มสมาชิกเป็นต้นแบบโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) โดยยึดมั่นในการประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและขยายผลในรูปแบบเพื่อนช่วยเพื่อน
จากความร่วมมือดังกล่าวทำให้โรงงาน 76 แห่งในกลุ่มสมาชิกได้ผ่านการรับรองเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศครบ 100% ในปี 2562 และได้ขยายความร่วมมือจาก Eco Factory มาสู่ภาคประชาสังคม โดยสมาคมฯ ได้ส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีการพัฒนาตามแนวทางของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการวัดเชิงนิเวศ (Eco Temple) และโรงเรียนเชิงนิเวศ (Eco School) เป็นต้น
นอกจากนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ไทยต้องเผชิญการแพร่ระบาดนับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงขณะนี้ สมาคมเพื่อนชุมชนยังคงไม่ได้ทิ้งเป้าหมายของความมุ่งมั่นในการสร้าง “บ้านเราน่าอยู่ สังคมยั่งยืน” โดยยังคงสานต่อโครงการเดิมต่อเนื่องและยังให้ความสำคัญต่อนโยบายที่มุ่งเน้นการเข้าไปสนับสนุนด้านสาธารณสุขในการดูแลชุมชนในพื้นที่ จ.ระยองเป็นสำคัญเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งระดับชุมชนและโรงงาน ทั้งการมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนโรงพยาบาลต่างๆ ให้สามารถบริการประชาชนในพื้นที่ และมอบอุปกรณ์ในการป้องกันการแพร่ระบาดให้แก่ชุมชนและโรงเรียนในพื้นที่ รวมทั้งมอบถุงยังชีพให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมยังเป็นความท้าทายของ จ.ระยอง จากการที่ปัจจุบันชุมชนเมืองในพื้นที่มาบตาพุดคอมเพล็กซ์มีการขยายตัวของชุมชนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการย้ายถิ่นของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น มีการระบายน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ซึ่งคุณภาพน้ำทิ้งที่ระบายไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีปริมาณการระบายของเสียเกินศักยภาพรองรับของแหล่งน้ำในพื้นที่ เนื่องจากปัจจุบันระบบรวบรวมน้ำเสียเข้าสู่ระบบบำบัดยังไม่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ
ดังนั้น เร็วๆ นี้สมาคมเพื่อนชุมชนจึงเตรียมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องใน จ.ระยองเพื่อดำเนินโครงการบูรณาการจัดการปัญหาคุณภาพแหล่งน้ำสาธารณะ (คลองน้ำหู) เพื่อเป็นโมเดลในการร่วมกันดูแลและปรับปรุงคุณภาพน้ำในคลองน้ำหู โดยการจัดการมลภาวะทางน้ำที่เกิดจากอาคาร บ้านเรือน ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม และสถานประกอบการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การจัดการปัญหาคุณภาพแหล่งน้ำสาธารณะที่ยั่งยืนต่อไป
จะเห็นว่าโครงการต่างๆ ที่สมาคมเพื่อนชุมชนขับเคลื่อนนับเป็นบทบาทของภาคเอกชนที่จะเข้ามาบูรณาการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในท้องถิ่น จ.ระยอง เพื่อยกระดับสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในการสร้างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ทุกภาคส่วนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนที่จะเป็นต้นแบบสู่การพัฒนาจังหวัดอื่นๆ ต่อไป โดยเฉพาะในเขตพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการลงทุน และเศรษฐกิจของประเทศ นับเป็นพื้นที่ดึงดูดการลงทุนในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศ