“ศักดิ์สยาม” พร้อมรับเสียงวิจารณ์ หยุดเดินรถเข้าหัวลำโพงเพื่อแก้ปัญหารถติดจุดตัดรถไฟ และนำที่ดินหัวลำโพงมาพัฒนาสร้างรายได้เพิ่ม ชี้ รฟท.แบกหนี้สะสม 6 แสนล้าน ต้องเร่งพัฒนาที่ดินทำเลทอง คาดใน 30 ปีสร้างรายได้ 8 แสนล้านบาท
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีมีกระแสไม่เห็นด้วยกับการหยุดเดินรถไฟเข้าสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ว่า เรื่องการหยุดเดินรถไฟเข้าสถานีหัวลำโพงภายหลังเปิดให้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อเป็นทางการนั้น กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกันมานานแล้ว เนื่องจากต้องการให้สถานีกลางบางซื่อเป็นศูนย์กลางของระบบรางทั้งหมด โดยในระยะแรกจะปรับลดขบวนรถเข้าสถานีหัวลำโพง จากเดิม 118 ขบวนต่อวันเหลือ 22 ขบวน ส่วนขบวนรถขนส่งสินค้าจะปรับไปใช้สถานีเชียงรากน้อยแทน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้มีจุดตัดทางรถไฟกับถนน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการจราจรในพื้นที่ กทม.
สำหรับประเด็นที่เป็นห่วงว่าประชาชนที่ใช้บริการรถไฟจะได้รับผลกระทบนั้น นายศักดิ์สยามกล่าวว่า กระทรวงคมนาคมกำลังเร่งหามาตรการเพื่อแก้ปัญหา โดยจะนำรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ทำเป็นระบบฟีดเดอร์ เพื่อเชื่อมบริการเส้นทางหัวลำโพง-บางซื่อ รวมถึงจะประสานกับเอกชนเจ้าของสัมปทานเดินรถสายสีน้ำเงิน หรือ MRT ในการหามาตรการเชื่อมต่อการเดินทางให้ประชาชนต่อไป
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า โครงการรถไฟสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และปัจจุบัน รฟท.ยังมีภาระหนี้สินและขาดทุนต่อเนื่อง ล่าสุดมีจำนวน 1.6 แสนล้านบาท และหากคิดเป็นจำนวนหนี้ที่ไม่ได้ลงบัญชีถึง 6 แสนล้านบาท จึงเป็นโจทย์ที่ รฟท.ต้องเร่งแก้ปัญหา ซึ่ง รฟท.ได้จัดตั้ง บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) เป็นบริษัทลูก เพื่อดำเนินการบริหารสินทรัพย์ของ รฟท.เพื่อหารายได้เพิ่มและแก้ปัญหาขาดทุน ซึ่งมีหลายแปลงที่มีศักยภาพไม่เฉพาะสถานีหัวลำโพง แต่ยังมีสถานีธนบุรี ซึ่งจะพัฒนาร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช, บริเวณอาร์ซีเอ บริเวณสถานีแม่น้ำ โดย SRTA คาดการณ์คาดว่าในปีแรกจะสามารถสร้างรายได้จากการพัฒนาทรัพย์สินให้กับ รฟท.ประมาณ 5,000 ล้านบาท และปีที่ 5 เพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท และรวม 30 ปี รฟท.ได้มากถึง 8 แสนล้านบาท
“วันนี้ (22 พ.ย.) จะมีการนำข้อมูล ข้อคิดเห็นจากทุกฝ่ายมาพิจารณาประเมินตัวเลขต่างๆ และผลกระทบ แนวทางการเยียวยา หากตัวเลข ข้อมูลชัดเจนตัดสินใจได้ก็ตัดสินใจ ตอนนี้อย่าเพิ่งดรามากัน ซึ่งจากที่มี 118 ขบวนเหลือ 22 ขบวนเข้าหัวลำโพง ก็ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ให้รฟท.ไปดูอีกว่าจะปรับได้อีกหรือไม่ หรือจะปรับเวลาไม่ให้กระทบช่วงเร่งด่วน เพราะเราต้องแก้ปัญหาจราจร และในที่สุดการบริหารที่สถานีหัวลำโพงจะต้องเปลี่ยนไป เพราะเรามีสถานีกลางบางซื่อ เป็นศูนย์กลางระบบราง ผมกล้าตัดสินใจ ผมทำงานก็โดนวิพากษ์วิจารณ์ ก็ไม่เป็นไร ซึ่งการพัฒนาหัวลำโพงเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะต้องประมูลแบบนานาชาติ และคงไม่ได้เกิดในสมัยผม แต่วันนี้ผมต้องเริ่มนับหนึ่งไว้ก่อน หากผมไม่เริ่มนับ ก็ต้องรอคนอื่นซึ่งก็ไม่รู้จะเริ่มเมื่อไหร่ และนั่นหมายถึงหนี้สินสะสมของรถไฟไม่รู้จะเพิ่มไปเป็นเท่าไร”