กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกางกำหนดการประชุมเอเปกด้านการค้าปี 65 หลังรับไม้ต่อเป็นเจ้าภาพ เผยจะมีการประชุม 2 ระดับ ระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสและเจ้าหน้าที่เทคนิค มีเป้าหมายเพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังยุคโควิด-19 การจัดทำ FTA เอเชีย-แปซิฟิก การผลักดัน SMEs ให้ความสำคัญ BCG เตรียมจัดสัมมนาใหญ่ช่วง พ.ค. 65 ระดมความคิดเห็นทำ FTA การขับเคลื่อน BCG
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า หลังจากที่นิวซีแลนด์ส่งมอบตำแหน่งเจ้าภาพการประชุมเอเปกในปี 2565 ให้ไทยเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยประสานงานหลัก และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้า ซึ่งจะมีการประชุมที่สำคัญ 2 ระดับ คือ ระดับรัฐมนตรี และระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและเจ้าหน้าที่เทคนิค ตลอดปี 2565
สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรี จะจัดการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปก (Ministers Responsible for Trade Meeting : MRT) ในเดือน พ.ค. 2565 ซึ่งจะเป็นโอกาสผลักดันและขับเคลื่อนความร่วมมือเอเปกในเรื่องที่สำคัญ เช่น การฟื้นฟูเศรษฐกิจการค้าของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หลังยุคโควิด-19 การจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) เอเชีย-แปซิฟิก ในบริบทการค้ายุคใหม่ และการผลักดันให้ผู้ประกอบการ และ SMEs ให้ความสำคัญต่อหลักการ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว) ในการประกอบธุรกิจ เป็นต้น
ส่วนการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส และเจ้าหน้าที่เทคนิค จะมีการประชุมตลอดทั้งปีกว่า 10 ครั้ง ได้แก่ 1. การประชุมคณะกรรมการว่าด้วยการค้าและการลงทุน (Committee on Trade and Investment : CTI) 4 ครั้ง ซึ่งจะเป็นเวทีหารือแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติของสมาชิกเอเปก ในเรื่องการขยายการค้าการลงทุน ลดอุปสรรคทางการค้า และอํานวยความสะดวกทางการค้า การลงทุนในภูมิภาค 2. การประชุมกลุ่มการเปิดตลาด (Market Access Group : MAG) 3 ครั้ง และ 3. การประชุมกลุ่มบริการ (Group on Services : GOS) 3 ครั้ง
นางอรมนกล่าวว่า กรมฯ ยังเตรียมจัดสัมมนาใหญ่ 2 งานในเดือน พ.ค. 2565 ได้แก่ งานสัมมนา Symposium เพื่อระดมความเห็นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของไทยต่อแผนการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก หรือ FTA-AP ตามเป้าหมายโบกอร์ 1994 และวิสัยทัศน์ปุตราจายา 2040 ของเอเปก ที่ต้องการเห็นการร่วมกลุ่มทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก สามารถขับเคลื่อนได้ในบริบทโลกใหม่ที่มีมาตรฐานสูงและครอบคลุมรอบด้าน โดยจะนำผลลัพธ์จากการสัมมนาเสนอที่ประชุมรัฐมนตรีการค้าของเอเปกต่อไป
นอกจากนี้ งานสัมมนา Symposium ของเอเปกยังจะมีเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องการส่งเสริมให้ SMEs ดำเนินธุรกิจด้วยการสนับสนุน BCG โมเดล ซึ่งตรงกับวาระแห่งชาติของไทยที่สนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 อย่างยั่งยืน ครอบคลุม และสมดุลในทุกมิติ โดยเชื่อมั่นว่าความเห็นและแนวคิดที่ได้จากงานสัมมนาทั้ง 2 เวทีจะช่วยขับเคลื่อนแนวคิด Open Connect Balance หรือเปิดกว้างสร้างสัมพันธ์เชื่อมโยงกันสู่สมดุลในการเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทยให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย และเขตเศรษฐกิจเอเปกร่วมกัน
เอเปกเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ประกอบด้วยสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไนดารุสซาลาม แคนาดา ชิลี จีน จีนฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ จีนไทเป ไทย สหรัฐฯ และเวียดนาม โดยสมาชิกเอเปกเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย ในปี 2563 การค้าระหว่างไทยกับเอเปกมีมูลค่า 9.8 ล้านล้านบาท (315.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ) คิดเป็นสัดส่วน 71.9% ของการค้ารวมทั้งหมดของไทย โดยไทยส่งออกไปเอเปกมูลค่า 5.1 ล้านล้านบาท (165 พันล้านเหรียญสหรัฐ) คิดเป็น 71.2% ของการส่งออกรวมทั้งหมดของไทย และไทยนำเข้าจากเอเปกมูลค่า 4.7 ล้านล้านบาท (150.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ) คิดเป็น 72.8% ของการนำเข้ารวมทั้งหมดของไทย
ในช่วง 9 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-ก.ย. 2564) การค้าระหว่างไทยกับเอเปกมีมูลค่ารวม 8.8 ล้านล้านบาท (284.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 23% โดยไทยส่งออกไปเอเปกมูลค่า 4.47 ล้านล้านบาท (144.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 17.9% และนำเข้าจากเอเปกมูลค่า 4.41 ล้านล้านบาท (140.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 28.2%