ครม.รับทราบผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมทุนฯ “แหลมฉบังเฟส 3” ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ปิดดีล 35 ปี มูลค่า 8.7 หมื่นล้านบาท เร่งเซ็นสัมปทานกลุ่ม GPC ลุยขยายประตูการค้าการลงทุนของประเทศ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 พ.ย. 2564 รับทราบผลการคัดเลือกผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุนของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F แล้ว โดยทางเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) จะพิจารณากำหนดวันลงนามสัญญากับเอกชนต่อไป โดยมี พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ทั้งนี้ ครม.มีข้อสังเกตเล็กน้อยให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ดูข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับผลกระทบจากโควิด-19 อีกครั้ง เนื่องจากในการศึกษาโครงการนั้นโควิดยังไม่เกิดขึ้น แต่จะไม่กระทบต่อผลการเจรจาสัญญาที่เอกชนต้องปฏิบัติตาม โดยผลตอบแทนโครงการมี 2 ส่วน คือ ค่าสัมปทานคงที่ และค่าสัมปทานแปรผัน ที่คิดตามปริมาณตู้สินค้าด้วย ซึ่งคาดว่าสถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไปด้วย
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.รับทราบผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุนของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้เห็นชอบแล้ว ตามมติของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 โดยมีกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC เสนอผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินของรัฐเป็นค่าสัมปทานคงที่ คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อ TEU (ตู้สินค้าขนาด 20 ฟุต) มีระยะเวลาร่วมลงทุน 35 ปี
สำหรับกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ประกอบด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT TANK) บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นเอกชนผู้ยื่นข้อเสนอรายเดียวที่ผ่านการประเมิน หากดำเนินการคัดเลือกใหม่อาจส่งผลให้การเปิดดำเนินการท่าเทียบเรือ F ล่าช้าประมาณ 2 ปี และก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น การที่ปริมาณตู้สินค้าจะเกินขีดความสามารถในการรองรับในปี 2568 รวมถึงข้อจำกัดในการรองรับเรือสินค้าขนาดใหญ่ และผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งส่งผลต่อประมาณการตู้สินค้าในปัจจุบัน ซึ่ง กพอ.พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบตามเหตุผลและความจำเป็นเร่งด่วนดังกล่าว
ทั้งนี้ การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังในการเป็นประตูการค้า การลงทุนของภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ
รายงานข่าวจาก กทท.ระบุว่า โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนของท่าเทียบเรือ F ระยะเวลาสัมปทาน 35 ปีนั้นมีเงื่อนไขสัญญากลุ่ม GPC จะเริ่มจ่ายค่าสัมปทานในปีที่ 3 นับจากออก NTP วงเงินประมาณ 70 ล้านบาทเศษ และปรับเพิ่มขึ้นตามการเจรจาข้อตกลงในสัญญา จนถึงปีที่ 35 คิดเป็นค่าตอบแทนทั้งหมด 87,471 หมื่นล้านบาท โดยเมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) จะอยู่ที่ 29,050 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ คาดเปิดดำเนินการในปลายปี 2568