กพท.ออกประกาศฉบับที่ 8 ปลดล็อก ทำการบินจังหวัดที่ได้รับการยกเว้นตามบัญชีรายชื่อพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว ศบค. โดยไม่จำกัดช่วงเวลา โดยยังห้ามเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 เป็นต้นไป
นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท. ได้ออกประกาศประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศ ในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ฉบับที่ 8) ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไปต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และได้มีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 รวมถึงคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด - 19) ออกมาใช้บังคับอย่างต่อเนื่องเพื่อกำหนดแนวทางในการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ ในการบริหารจัดการและเตรียมความพร้อมในการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19)ให้เหมาะสมในแต่ละช่วงสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) นั้น
เพื่อเป็นการดำเนินมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคที่สอดคล้องกับข้อกำหนดและคำสั่งดังกล่าวที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศกำหนดแนวปฏิบัติ ดังนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิก
(1) ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โควิด - 19) (ฉบับที่ 5) ประกาศ ณ วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2564
(2) ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ฉบับที่ 6) ประกาศ ณ วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564
(3) ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ฉบับที่ 7) ประกาศ ณ วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564
ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับแก่เที่ยวบินภายในประเทศ (Domestic Flight) ที่ให้บริการผู้โดยสาร(Passenger Flight) เท่านั้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงเที่ยวบินของอากาศยานส่วนบุคคล
ข้อ 3 ห้ามมิให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศปฏิบัติการบินรับส่งผู้โดยสารออกจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) เว้นแต่เป็นเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารที่มีความจำเป็น โดยผู้โดยสารนั้นจะต้องดำเนินการตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขการเดินทางเข้าและออกของจังหวัดจุดหมายปลายทาง โดยมีเอกสารการได้รับวัคซีนครบเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เช่น เอกสารแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยวิธี RT-PCRหรือ Antigen Test Kit (ATK) หรือเอกสารรับรองว่าเป็นผู้เคยติดเชื้อมาไม่เกิน 90 วัน หรือเอกสารรับรองว่าเป็นผู้ผ่านการกักตัวตามมาตรการที่ทางภาครัฐกำหนดแล้ว เป็นต้น
ข้อ 4 ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศที่ให้บริการผู้โดยสารในห้วงเวลานี้ปฏิบัติดังนี้
(1) สำหรับเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) จากการจำแนกพื้นที่สถานการณ์ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19 ) ซึ่งได้รับการยกเว้นตามบัญชีรายชื่อพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว แนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ผู้ดำเนินการเดินอากาศสามารถปฏิบัติการบินได้โดยไม่จำกัดช่วงเวลา ซึ่งสอดคล้องกับการบริการขนส่งสาธารณะประเภทอื่นที่ดำเนินตามข้อกำหนดและข้อปฏิบัติเดียวกัน
(2) ให้มีจำนวนผู้โดยสารได้ตามความจุของอากาศยานที่ใช้ในการทำการบินเที่ยวบินนั้น ๆ และให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศพิจารณาการจัดที่นั่งในห้องโดยสารอย่างเหมาะสม โดยให้เป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด อันจะมีส่วนช่วยในการป้องกันควบคุมโรค
(3) ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศทำการประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารทราบถึงมาตรการเข้า/ออกของจังหวัดปลายทาง รวมถึงการแจ้งความจำเป็นในการเดินทางผ่านเว็บไซต์ https://covid-19.in.th/ก่อนการเดินทาง
(4) ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศตรวจสอบเอกสารสำคัญของผู้โดยสารตามมาตรการป้องกันโรคของจังหวัดปลายทางอย่างเคร่งครัด ในกรณีการเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยว (Sandbox ) ไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นภายในราชอาณาจักร หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นผู้โดยสารที่เข้ามาในราชอาณาจักรภายใต้โครงการพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยว ให้ตรวจสอบหลักฐานการพำนักอยู่ในพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักรหรือเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นภายในราชอาณาจักรหากเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ผู้โดยสารอาจถูกปฏิเสธการเดินทางได้โดยเงื่อนไขการเดินทางเข้าและออก และมาตรการควบคุมโรคของแต่ละจังหวัด สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.)ที่ https://www.moicovid.com/
(5) ในระหว่างการปฏิบัติการบิน ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศติดตามดูแลมิให้ผู้โดยสารรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ยกเว้นในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็น ลูกเรืออาจพิจารณาจัดน้ำดื่มให้บริการแก่ผู้โดยสารได้ ทั้งนี้ ให้กระทำในพื้นที่ที่ห่างจากผู้โดยสารคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
(6) ให้ผู้ดำเนินการสนามบินจัดระบบการไหลเวียนของผู้โดยสาร ( Passenger Flow)และการรับกระเป๋า รวมถึงอำนวยความสะดวกต่อหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้สามารถทำงานได้ตามมาตรการของจังหวัดปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อ 5 ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศจัดให้บุคลากรด่านหน้าที่ให้บริการผู้โดยสารได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์และควรให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด - 19 ทุกสัปดาห์ ตามมาตรการความปลอดภัยสำหรับองค์กร (Covid Free Setting)
ข้อ 6 ก่อนเข้าพื้นที่ท่าอากาศยาน ให้ผู้ดำเนินการสนามบินทำการตรวจคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยานอย่างเข้มงวด โดยต้องมีการตรวจสอบการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าและการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature Screening) ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของผู้ถูกตรวจวัด (Non-contact Infrared Thermometer) หากบุคคลนั้นไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หรือวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเชียส หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบให้ปฏิเสธการให้เข้าพื้นที่ท่าอากาศยานโดยเด็ดขาด
ข้อ 7 ให้ผู้ดำเนินการสนามบินควบคุมการดำเนินการตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เช่น มาตรการรักษาระยะห่าง การจัดให้มีแลกอฮอล์สำรับล้างมือไว้ให้บริการอย่างเพียงพอทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคพื้นที่และอุปกรณ์ต่าง 1 อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณห้องน้ำและให้ผู้ใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตาม ผู้ดำเนินการสนามบินสามารถให้ผู้ใช้บริการออกจากพื้นที่สนามบินได้
ข้อ 8 ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศที่จัดรถลำเลียงผู้โดยสารไป-กลับระหว่างอาคารผู้โดยสารและอากาศยาน (Shuttle bus) สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ตามความจุมาตรฐานของยานพาหนะนั้น ๆ โดยถือหลักหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสระหว่างกัน ทั้งนี้ ให้ทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ที่มีการสัมผัสบ่อย ๆ ทั้งก่อนและหลังการให้บริการ
ข้อ 9 ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศเก็บข้อมูลผู้โดยสารไว้อย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้สามารถบ่งชี้ถึงผู้โดยสารที่อาจเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง รวมถึงข้อมูลเพื่อใช้ในการติดต่อ และให้นำส่งข้อมูลเมื่อได้รับการร้องขอจากหน่วยงานสาธารณสุข
ข้อ 10 ให้ผู้ดำเนินการสนามบินติดตามดูแลให้ผู้ประกอบการร้านค้าต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ทำอากาศยานปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) โดยเคร่งครัด
ข้อ 11 ในกรณีที่มีการยกเลิกเที่ยวบินและการรวมเที่ยวบิน ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศแจ้งและดูแลผู้โดยสารอย่างเหมาะสม ตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง การคุ้มครองสิทธิของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินของไทยในส้นทางบินประจำภายในประเทศ พ.ศ. 2553
ข้อ 12 ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศแจ้งเตือนผู้โดยสารกรณีเป็นผู้ป่วยยืนยันหรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ให้งดการเดินทาง หากฝ่าฝืนอาจได้รับโทษตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อพ.ศ. 2558
ข้อ 13 ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศเพิ่มความเข้มงวดในการติดตามดูแลให้ประชาชนผู้มาใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการในระเบียบสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยว่าด้วยแนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) พ.ศ. 2564 ประกาศ ณ วันที่9 เมษายน พ.ศ. 2564
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะสิ้นสุดไป
หรือมีประกาศอื่นใดเพิ่มเติม