อคส.ลุยต่อ ร้องเรียน ป.ป.ช.เอาผิด “พ.ต.อ.รุ่งโรจน์” กับพวกรวม 4 ราย ใช้อำนาจในทางทุจริต เอื้อประโยชน์บริษัทเอกชน ทำสัญญาย้อนหลังให้ได้รับเงินค่าเช่าคลังสินค้า ทั้งที่ข้าวที่เก็บติดคดีทุจริตทำข้าวถุงสมัย “ยิ่งลักษณ์” แถมทำสัญญาให้ อคส.เสียเปรียบ นำข้าวออกขายไม่ได้ หากไม่จ่ายค่าเช่าคลัง ทำให้ อคส.เสียหายจากข้าวที่ค้างในคลังไม่น้อยกว่า 1,300 ล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการตามกฎหมายจนถึงที่สุด กรณี พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส. และพวก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ อคส. 3 ราย รวม 4 ราย ใช้อำนาจในทางทุจริตในลักษณะแบ่งแยกงานกันทำ มีเจตนาไม่ดำเนินการตามขั้นตอน ระเบียบ และกฎหมาย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัทค้าข้าวรายหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่สัญญาที่ อคส.เช่าคลังสินค้าฝากเก็บข้าวสารจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2554/55 และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2555 ส่งผลให้ อคส.ได้รับความเสียหายเป็นเงินค่าเช่าคลังสินค้าที่ชำระให้บริษัทนี้แล้ว 196.81 ล้านบาท และความเสียหายจากข้าวที่ยังคงค้างในคลังจากการทุจริตอีกไม่น้อยกว่า 1,300 ล้านบาท
โดยหนังสือร้องเรียนที่ อคส.ยื่นต่อ ป.ป.ช.ระบุว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการ อคส. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ อคส.อีก 3 ราย กระทำโดยทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยทำสัญญาเช่าคลังสินค้า และทำบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าคลังย้อนหลังให้กับบริษัท รวม 4 คลัง เพื่อให้บริษัทดังกล่าวได้รับค่าเช่าคลังฝากเก็บข้าวจาก อคส. ทั้งๆ ที่ข้าวที่เก็บใน 4 คลังเป็นข้าวที่ติดคดีทุจริตจัดทำข้าวสารบรรจุถุงช่วยเหลือประชาชนในปี 2557 สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และข้าวดังกล่าว อคส.ไม่ได้ทำสัญญาเช่าคลังกับบริษัท อีกทั้งข้าวดังกล่าวถูกอายัดมาตั้งแต่ปี 2557 และอยู่ระหว่างการไต่สวนและชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.
ทั้งนี้ หลังจากเกิดปัญหาทุจริต อคส.ได้มีคำสั่งให้ยุติดำเนินการ และบริษัทต้องคืนข้าวเข้าสต๊อกให้กับ อคส. แต่กลับนำข้าวสารดังกล่าวที่ไม่ทราบจำนวน เข้าเก็บในคลังสินค้าของตนเองโดยไม่ได้ทำสัญญากับ อคส. ต่อมาปี 2562 ช่วงที่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ รักษาการผู้อำนวยการ อคส. ได้ร่วมกับพวกทำสัญญาเช่าใหม่ โดยให้สัญญามีผลย้อนหลังไปถึงปี 2557 เพื่อให้บริษัทได้รับค่าเช่าคลังจาก อคส. โดยไม่ต้องรอผลชี้มูลความผิดจาก ป.ป.ช. และการทำสัญญาเช่าย้อนหลังนี้ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ไม่ได้รายงานให้คณะกรรมการ (บอร์ด) อคส.ทราบ หรือไม่ได้หารือ ป.ป.ช. หรือมีพฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดที่จะเข้าใจได้ว่า พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ใช้ความระมัดระวังในการทำสัญญาย้อนหลัง เพื่อไม่ให้ อคส.เสียหาย
ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ และพวก ยังร่วมกันทำบันทึกแนบท้ายสัญญาเช่าย้อนหลัง โดยกำหนดเงื่อนไข 3 ข้อ คือ ข้อ 1 อคส.จะทยอยจ่ายค่าเช่าคลังและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามงบประมาณที่ได้รับจากรัฐบาลให้บริษัทให้เสร็จในเวลาไม่เกิน 30 วันนับจากวันที่ 3 ธ.ค. 2563 ข้อ 2 ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายคงเหลือ อคส.จะจ่ายหลังได้รับงบประมาณให้เสร็จใน 30 วัน และข้อ 3 บริษัทยินยอมให้ อคส.นำข้าวในคลังต่างๆ ของบริษัท ออกระบายโดยไม่ยึดหน่วง ขัดขวาง เว้นแต่ อคส.ไม่ชำระหนี้ บริษัทสามารถยึดหน่วงข้าวได้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้
สำหรับบันทึกแนบท้ายนี้ถือว่าขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2535 ที่กำหนดให้รัฐวิสาหกิจต้องส่งสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาก่อนลงนาม แต่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ลงนามเองโดยไม่ผ่านการพิจารณาของบอร์ด หรือ อสส. อีกทั้งยังขัดกับสัญญาหลักในการเช่าคลังฝากเก็บข้าวรัฐ ที่กำหนดว่าผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิยึดหน่วงข้าวสาร หรือทรัพย์สินใดๆ ของผู้เช่า (อคส.) ที่เก็บไว้ในสถานที่เช่า ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ผลจากการทำสัญญาเช่าย้อนหลัง และการทำบันทึกแนบท้ายดังกล่าว บริษัทได้นำมาใช้เป็นข้ออ้างให้ อคส.ต้องชำระค่าเช่า และอ้างสิทธิยึดหน่วงข้าวเพื่อให้ อคส.ชำระค่าเช่า ซึ่งการดำเนินการของ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ และพวก ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 มาตรา 11 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และเนื่องจากผู้บริหารบริษัทไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 8 มาตรา 11 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86
