กรมการค้าต่างประเทศเผยส่งออกข้าวไทยสัญญาณดี ตั้งแต่ มิ.ย.-ก.ค.ยอดกลับมาเป็นบวก ส.ค.และ ก.ย.มีทิศทางดีขึ้น มั่นใจปีนี้ทำได้ตามเป้า 6 ล้านตัน ชี้เป็นผลจากผลผลิตข้าวเพิ่ม เงินบาทอ่อนค่า ทำแข่งขันได้ดีขึ้น เตรียมเจรจาคู่ค้าติดตามสถานการณ์ตลาดข้าวและผลักดันขายข้าวไทยต่อ
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงแนวโน้มการส่งออกข้าวไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564 ว่า การส่งออกข้าวไทยกลับมาขยายตัวเป็นบวกตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ก.ค. 2564 ที่ขยายตัว 7.35% โดยตลาดหลักที่ไทยส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น เช่น แอฟริกาใต้ จีน เยเมน และอิรัก และชนิดข้าวที่ส่งออกเป็นบวก ได้แก่ ข้าวนึ่ง ข้าวขาว และข้าวกล้อง และคาดว่าแนวโน้มการส่งออกข้าวไทยจะดีขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากสถิติการขอใบอนุญาตส่งออกข้าวของกรมฯ ในเดือน ส.ค. 2564 ที่มีปริมาณสูงถึง 831,260 ตัน เพิ่ม 133.13% และล่าสุดเดือน ก.ย. 2564 (วันที่ 1-20) มีปริมาณ 631,363 ตัน เพิ่ม 61.78% โดยตัวเลขการขอใบอนุญาตส่งออกข้าวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงคำสั่งซื้อจากลูกค้าในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น คาดว่าในปีนี้ไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ตามเป้าที่ปริมาณ 6 ล้านตัน
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ข้าวไทยสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นมาจากราคาข้าวไทยที่ปรับตัวมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับราคาข้าวจากประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม และอินเดีย โดยเฉพาะข้าวขาวและข้าวนึ่ง โดยราคาข้าวไทยที่ปรับตัวลดลงเป็นผลมาจากผลผลิตข้าวปีการผลิต 2564/65 ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 4.97% และเงินบาทที่อ่อนค่าลงจากประมาณ 29-30 บาทต่อเหรียญสหรัฐในช่วงต้นปี มาอยู่ที่ประมาณ 32-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิ.ย. 2564 เป็นต้นมา ทำให้ช่องว่างระหว่างราคาข้าวไทยกับข้าวจากประเทศคู่แข่งลดลงและสามารถแข่งขันได้มากขึ้น
นายกีรติกล่าวว่า การทำตลาดข้าว กรมฯ ดำเนินการตามนโยบาย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ใช้หลักการ “ตลาดนำการผลิต” โดยได้ร่วมมือกับทูตพาณิชย์ในฐานะเซลส์แมนประเทศเร่งการเจรจา หารือ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยกับคู่ค้าสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปรับรูปแบบการทำงานในสถานการณ์โควิด-19 เป็นการนัดประชุมหารือกับคู่ค้าสำคัญผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อติดตามสถานการณ์ตลาดข้าวและเจรจาซื้อขายข้าวไทย
ที่ผ่านมาได้หารือกับคู่ค้าสำคัญแล้ว เช่น ผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง อิรัก เป็นต้น ซึ่งจากการหารือทำให้ได้รับทราบถึงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยผู้นำเข้าข้าวให้ความเห็นว่า นอกจากปัจจัยด้านราคาที่ข้าวไทยปรับตัวอยู่ในระดับที่แข่งขันได้มากขึ้นแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการนำเข้าข้าวไทย ได้แก่ คุณภาพและมาตรฐานข้าวไทยที่เหนือกว่าคู่แข่ง รวมทั้งศักยภาพของผู้ส่งออกข้าวไทยที่สามารถส่งข้าวคุณภาพดีให้ลูกค้าได้ แม้ช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้นำเข้ามีความเชื่อมั่นในการนำเข้าข้าวจากไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีแผนการจัดประชุมหารือกับประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย บังกลาเทศ จีน เป็นต้น รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ข้าวไทยภายใต้แนวคิด “Think Rice Think Thailand” ผ่านช่องทางออนไลน์และสื่อโซเชียลต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค และขอให้ทูตพาณิชย์ในฐานะทีมเซลส์แมนประเทศใช้แนวคิดดังกล่าวในการประชาสัมพันธ์ข้าวไทยเพื่อกระตุ้นให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลกด้วย