นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการกรมชลประทาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 64 กรมฯ ได้จัดการประชุมในพื้นที่ และผ่านระบบออนไลน์เสนอผลการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการ กิจการหรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต ของประชาชนในชุมชนอย่างรุนแรง (EHIA) ของโครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งจากการรับฟังความเห็นของ ชุมชน ผู้นำชุมชน และหน่วยงานในท้องถิ่น ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญต่อการพัฒนาโครงการดังกล่าวที่จะเป็นอ่างเก็บน้ำแห่งที่ 4 ของลุ่มน้ำวังโตนด สามารถเก็บน้ำได้ 99.5 ล้านลูกบาศก์เมตร แก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำช่วงฤดูแล้งให้แก่ชาวบ้านได้มีน้ำอุปโภคบริโภคอย่างมั่นคงในระยะยาว
“หลังจากที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบ EHIA กรมฯ ได้เปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อนำไปสรุปและปรับปรุงเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไปตามลำดับ โดยตามแผนงานกรอบระยะเวลาของกรมชลประทานจะเริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างในปี 2566” นายเฉลิมเกียรติกล่าว
อย่างไรก็ตาม จากเวทีรับฟังความเห็นชาวบ้านบางส่วนยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สิน ในเรื่องนี้กรมฯ ชี้แจงว่าได้มีการเสนอคณะกรรมการกำหนดราคาค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง เตรียมจัดการดูแลค่าชดเชยที่ดินให้แก่ประชาชนประมาณ 455 ครัวเรือน และในส่วนของการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยเฉพาะช้างป่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น และเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนซ่อง จังหวัดจันทบุรี ได้ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการพัฒนาแหล่งอาหาร และแหล่งน้ำ ให้แก่สัตว์ป่าในพื้นที่อุทยานกลับมามีระบบนิเวศที่ดีและมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญต่อทุกภาคส่วน โดยมีการหารือและแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิดร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องของการประเมินราคาที่ดินเพื่อคำนวณค่าชดเชยที่เน้นความเป็นธรรมให้แก่ชาวบ้าน และยังได้ประสานไปยังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อดำเนินการจัดทำโครงการบ้านมั่นคงชนบทให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมเยียวยาในด้านอื่นๆ เพิ่มเติม ได้แก่ การส่งเสริมอาชีพ และการส่งเสริมการเกษตรอย่างต่อเนื่อง” นายเฉลิมเกียรติกล่าว
ทั้งนี้ จังหวัดจันทบุรี แม้จะเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณฝนตกมากในแต่ละปีแต่ยังขาดแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่รองรับสำรองไว้ใช้อย่างมั่นคงยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำคลองวังโตนดที่มีอ่างเก็บน้ำอยู่เดิมเพียง 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำคลองประแกด อ่างเก็บน้ำพะวาใหญ่ อ่างเก็บน้ำคลองหางแมว โดยอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนดจะเป็นแห่งที่ 4 ซึ่งจะช่วยเพิ่มต้นทุนน้ำในพื้นที่รวมทั้งสิ้น 308.56 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะทำให้สามารถส่งน้ำในระบบชลประทาน ครอบคลุมพื้นที่ทั้งสิ้น 267,800 ไร่ โดยอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนดมีศักยภาพในการส่งน้ำให้พื้นที่ชลประทานได้ถึง 87,700 ไร่
นอกจากนี้ กรมชลฯ ยังได้มีแผนการบริหารจัดการน้ำในอนาคต ที่ช่วยพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะมีการผันน้ำไปช่วยเหลือในช่วงฤดูน้ำหลากเข้าอ่างประแสร์ จังหวัดระยอง และอ่างบางพระ จังหวัดชลบุรี ทั้งนี้ต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการ และภาคประชาชนในพื้นที่เพื่อพิจารณาความเหมาะสม และเห็นชอบร่วมกันในปริมาณที่จัดสรรในพื้นที่อื่นๆ โดยคำนึงถึงความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เป็นหลัก
นายเดช จินโนรส นายกองค์การบริหารส่วนตำบลขุนซ่อง จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า จังหวัดจันทบุรีเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตผลไม้ตามฤดูกาลของประเทศ ซึ่งน้ำคือต้นทุนสำคัญของเกษตรกรในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและมีงานทำตลอดทั้งปี แต่ที่ผ่านมาทุกปีเกษตรกรมักประสบกับปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง มีน้ำใช้ในภาคเกษตรไม่เพียงพอ ดังนั้นการมีอ่างเก็บน้ำในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำคลองวังโตนดจะช่วยให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกพืชชนิดต่างๆ มีผลผลิตที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และมีต้นทุนการผลิตที่ลดลง โดยเฉพาะการปลูกทุเรียน และสวนยางพารา
นอกจากนี้ การสร้างอ่างเก็บน้ำดังกล่าวยังมีส่วนสำคัญในการช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบรูณ์ของผืนป่า และเป็นรั้วธรรมชาติในการป้องกันช้างลงมาสู่พื้นที่การเกษตร เพราะที่ผ่านมาช้างที่อาศัยในป่าเสื่อมโทรมได้เข้ามาหากินในพื้นที่ทำการเกษตร เนื่องจากความแห้งแล้ง ทำให้ช้างขาดแหล่งน้ำ จึงขยายอาณาเขตหากินเพื่ออาศัยแหล่งน้ำที่ชาวบ้านขุดเพื่อการเกษตร และกินพืชผลทางการเกษตร ซึ่งปัจจุบันชุมชนได้จัดตั้งกลุ่มเคลื่อนที่เร็วในการดูแล และป้องกันช้างเข้าพื้นที่ทำการเกษตรเพื่อผลักดันให้ช้างกลับเข้าสู่ผืนป่า ดังนั้น การมีอ่างเก็บน้ำสามารถจำกัดเส้นทางเดินเข้าพื้นที่ทำกินของเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กรมชลฯ และกรมอุทยานแห่งชาติฯ ร่วมกันจัดทำแนวทางการเข้าไปดูแลช้างในด้านต่างๆ ทั้งการปลูกป่าทดแทน การสร้างแหล่งน้ำและแหล่งสำรองอาหารสำหรับสัตว์ป่า เช่น กล้วย หน่อไม้ รวมถึงการจัดทำโปร่งเทียม และจัดทำฝายชะลอน้ำ เป็นต้น