ผู้จัดการรายวัน 360 - ตลาดรวมผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำเติบโตมากแทนผงซักฟอก แค่เพียง 6 ปีตลาดรวมแบบน้ำส่วนแบ่งเพิ่ม 12% แค่ครึ่งปีนี้มูลค่าตลาดพุ่งถึง 3,000 ล้านบาทแล้ว ด้าน นีโอ ลุยหนักรับตลาดโต ปั้นสินค้าใหม่ทั้งแบรนด์ “ไฟน์ไลน์” และ “ดีนี่” ชิงตลาด เผยยอดขาย "ซักผ้าแบบน้ำ" อีคอมเมิร์ซเติบโต 240%
นางปัทมา ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์ของผู้บริโภคหันมานิยมผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมาทดแทนผงซักฟอก ปัจจุบันซักผ้าแบบน้ำมีสัดส่วนตลาดมากถึง 33% จากเดิมที่ 21% ในปี 2558 หมายถึงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 12% ในเวลาเพียงแค่ 6 ปี โดยในครึ่งปีแรกของปี 2564 ตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำมีมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทฯ ได้พัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำเข้าสู่ตลาด ทั้งซักผ้าผู้ใหญ่และซักผ้าเด็ก เช่น “ไฟน์ไลน์” (Fineline) “ซักผ้าสูตรเข้มข้น” สำหรับซักกลางคืน มีเทคโนโลยี Fx-Tech ลิขสิทธิ์เฉพาะจากไฟน์ไลน์ ช่วยกำจัดกลิ่นอับชื้นที่ต้นเหตุ ตอกย้ำการที่ไฟน์ไลน์แบรนด์ของคนไทยแบรนด์แรกที่เป็นอันดับ 2 ในตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำ
ขณะเดียวกัน “ดีนี่” (D-nee) ผู้นำผลิตภัณฑ์เพื่อลูกน้อย ส่งผลิตภัณฑ์ “ซักผ้าเด็กสูตรออร์แกนิค” มีส่วนผสมของออร์แกนิกอะโลเวรา ตอกย้ำความเป็นที่ 1 ในตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และเป็นอันดับ 3 ในตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำ ส่วน “สมาร์ท” (Smart) นำเสนอผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้นเข้าสู่ตลาด
“นีโอ คอร์ปอเรท ให้ความสำคัญต่อคุณภาพสินค้าและจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง รวมทั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาศักยภาพของบริษัทในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ของทุกหน่วยงาน รวมถึงการทำงานแบบ Teamwork ความร่วมมือของคู่ค้า ทำให้สามารถรับมือกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไฟน์ไลน์มีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเป็นอันดับ 2 และดีนี่มีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 3 ทำให้ นีโอ คอร์ปอเรท เป็นบริษัทไทยที่มียอดขายสูงสุดในตลาดซักผ้าแบบน้ำ” ปัทมากล่าวย้ำ
บริษัทฯ ยังมั่นใจว่าปี 2564 กลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำจะบรรลุเป้าหมายยอดขายเติบโตที่ 10% จากครึ่งปีแรกเติบโตแล้วถึง 12% โดยเฉพาะช่องทาง Online e-commerce เติบโตสูงถึง 240% และตั้งเป้าหมายปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่อง 20%
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ถือเป็นปีที่เศรฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด ทำให้บริษัทฯ ต้องเพิ่มความรัดกุมในการวางแผนการตลาดอย่างครอบคลุม 360 องศา โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไป สำหรับออนไลน์ (Online) ได้เพิ่มการสื่อสารและการจัดจำหน่ายในช่องทาง e-commerce เพื่อรองรับสภาวะที่ผู้บริโภคต้องลดการออกจากบ้าน ทั้งช่องทางหลักและช่องทางใหม่ๆ ของคู่ค้า ทั้ง Modern Trade และ Traditional Trade ที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการ Live ขายสินค้าทาง Facebook Fanpage ในช่องทางของบริษัทฯ เป็นประจำทุกเดือน รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการทดลองใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ผ่านการแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง
ส่วนออฟไลน์ (Offline) ยังคงขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และเน้นปรับการจัดตกแต่งพื้นที่หน้าร้านให้โดดเด่น ในทุกประเภทร้านค้า เพื่อสนับสนุนคู่ค้าอย่างเต็มที่
อีกทั้งได้เปิดตัวแคมเปญ “NEO for Thais นีโอ เคียงข้างคนไทย พ้นภัยโควิด” ทั้งในส่วนการมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและเงินช่วยเหลือให้แก่โรงพยาบาล และชุมชน รวมถึงกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ ไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 100 แห่ง ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ปี 2563 บริษัทร่วมสนับสนุนความช่วยเหลือให้สถานพยาบาล โรงพยาบาลสนามและองค์กรต่างๆ ยอดบริจาคเงินและผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้น 7 ล้านบาท และในปี 2564 ตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม ร่วมบริจาคเงินและผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้น 13 ล้านบาท