ผู้จัดการรายวัน 360 - กลุ่มดุสิตธานีเผยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2564 รายได้รวม 587 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 163 ล้านบาท คิดเป็น 38.4% โดยมีผลขาดทุนสุทธิ 376 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็น 17% ขณะที่รายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,898 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปีก่อน 15.3% ยอมรับการท่องเที่ยวยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ “ดุสิตธานี” ยังสู้ พร้อมเดินกลยุทธ์ปรับโครงสร้างทรัพย์สินเพื่อรักษาสภาพคล่องเงินสด รวมถึงคุมเข้มค่าใช้จ่ายเพื่อรับมือผลกระทบระยะยาว
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 (เมษายน ถึงมิถุนายน) และครึ่งปีแรก (มกราคม ถึงมิถุนายน) ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยมีผลขาดทุนลดลง เนื่องจากในระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยต้องปิดให้บริการชั่วคราวทั้งโรงแรมในประเทศไทยและในต่างประเทศ แตกต่างจากปีนี้ซึ่งโรงแรมสามารถเปิดให้บริการได้ ทำให้รายได้ไม่ได้หยุดชะงักเหมือนกับการแพร่ระบาดในระลอกแรกเมื่อปีก่อน
“ธุรกิจการท่องเที่ยวทั่วโลกยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในส่วนของประเทศไทย ต้องยอมรับว่าการระบาดครั้งใหญ่ในระลอกที่ 3 ที่เริ่มต้นขึ้นเดือนเมษายน 2564 หรือต้นไตรมาสที่ 2 ส่งผลให้มีอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกระจายไปทั่วประเทศ ในขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนในประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของเรา แต่ภาพรวมดีขึ้นกว่าปีก่อน เพราะเรายังมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศและรายได้จากการขยายธุรกิจอาหารให้แก่โรงเรียนนานาชาติในเวียดนามมาช่วยเสริม นอกจากนี้ เรายังมีกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม และยังคงควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวดและพยายามลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้แม้จะมีผลดำเนินงานที่ขาดทุน แต่ก็เป็นผลขาดทุนที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีกล่าว
ทั้งนี้ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่กลุ่มดุสิตธานีก็ยังมีพัฒนาการและสามารถเดินหน้าขยายธุรกิจได้ตามแผนที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 กลุ่มดุสิตธานีได้เปิดโรงแรมใหม่ภายใต้รูปแบบ White Label Hotel Managed by Dusit ที่เกาะกวม สหรัฐอเมริกา จำนวนหนึ่งแห่ง รวมถึงเปิดตัว เทวารัณย์ เวลเนส คอนเซ็ปต์ ซึ่งเป็นแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมใหม่ เพื่อตอบสนองเทรนด์ท่องเที่ยวใหม่ ตลอดจนปรับปรุงกิจกรรมต่างๆ และเตรียมพร้อมโรงแรมและวิลลาเพื่อเข้าโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ และสมุยพลัส ไปจนถึงการเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้พนักงานให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าและพนักงาน ส่วนธุรกิจอาหาร บริษัทฯ ได้เปิดร้านคาวาอิ เป็นแฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่ในย่านอโศก ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยเป็นร้านสแตนด์อะโลนแห่งแรก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่นิยมอาหารเพื่อสุขภาพ และสามารถสั่งอาหารแบบดีลิเวอรี ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี
สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเฉพาะในไตรมาส 3 (กรกฎาคม ถึงกันยายน) ที่การแพร่ระบาดรุนแรงขึ้น และมีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์แบบเข้มข้นมากขึ้นในหลายๆ จังหวัดของประเทศไทย ทำให้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการมากขึ้นนั้น ทางกลุ่มดุสิตธานีได้พยายามบริหารสถานการณ์และวางแผนเพื่อรับมือกับผลกระทบระยะยาวที่อาจจะยืดเยื้อกว่าที่คาด ด้วยการดำเนินการตามกลยุทธ์ปรับโครงสร้างทรัพย์สิน (Asset Optimization) โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงในการขายโรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่ ให้แก่นักลงทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรมดังกล่าวต่อไป ภายใต้แบรนด์ “ดุสิตธานี” ซึ่งรายได้และกำไรจากการขายจะรับรู้ในงบการเงินไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการด้านการเงินอย่างระมัดระวัง ด้วยการให้ความสำคัญต่อการลดสัดส่วนของต้นทุน ค่าใช้จ่าย และรักษาสภาพคล่องทางการเงิน โดยล่าสุดได้ออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่จำนวน 1,000 ล้านบาทให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นที่เรียบร้อย
“สิ่งที่เราพยายามทำในขณะที่ธุรกิจหลักมีแนวโน้มเผชิญความท้าทายมากขึ้น นอกจากจะขยายธุรกิจให้มีความหลากหลายเพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทนแล้ว เรายังคงเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ในการปรับโครงสร้างทรัพย์สินเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีขึ้น รวมถึงช่วยเสริมสภาพคล่อง และรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คาด แต่กลุ่มดุสิตธานียังคงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะประคับประคองธุรกิจไว้ให้ได้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและพื้นฐานที่มั่นคงของทุกภาคส่วนของบริษัท ซึ่งเราจะอดทนรอจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อที่จะกลับมาเป็นส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศให้กลับมาสดใสได้อีกครั้งในอนาคต” นางศุภจีกล่าว