กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศสรุปผลการจัดสัมมนาออนไลน์เจาะตลาดจีน-อินเดีย เผยการล็อกดาวน์ทำให้มีความต้องการสินค้าอาหารจากไทยเพิ่ม แนะใช้ประโยชน์จาก FTA ในการขยายตลาด ทูตพาณิชย์ชี้จีนต้องการอาหารแปรรูป อาหารสุขภาพ อาหารผู้สูงอายุและเด็ก อาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนอินเดียต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงสูงมาก รวมถึงผลไม้
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการจัดสัมมนาออนไลน์ เรื่อง “FTA นำเกษตรไทย ทะลุโควิด ตะลุยตลาดมังกรและแดนภารตะ” ช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า ผลจากการล็อกดาวน์ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ตลาดจีนและอินเดียมีความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงโอกาสการเติบโตของการค้าไทยที่จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะปัจจุบันไทยได้ทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับจีนและอินเดีย คือ อาเซียน-จีน ไทย-อินเดีย และอาเซียน-อินเดีย โดยได้มีการลดหรือยกเลิกภาษีสินค้าในกลุ่มอาหารจากไทยแล้ว
สำหรับสินค้าอาหารที่มีโอกาสในตลาดจีน เช่น สิ่งปรุงรส เครื่องแกงไทยสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง ผักผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและอบแห้ง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น ส่วนตลาดอินเดีย เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง น้ำผลไม้ที่มีวิตามิน ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และเครื่องเทศและสมุนไพร เป็นต้น
น.ส.จีรนันท์ หิรัญญสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า สินค้าที่มีโอกาสขยายตัวในตลาดจีน ได้แก่ สินค้าอาหารแปรรูป ในกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารสำหรับผู้สูงอายุและเด็ก และอาหารสัตว์เลี้ยง โดยปัจจุบันผู้บริโภคจีนหันมาสนใจสุขภาพและความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น อีกทั้งยังให้ความสำคัญต่อข้อมูลผลิตภัณฑ์ เช่น ส่วนประกอบ แหล่งที่มา และประโยชน์ของอาหาร รวมถึงการซื้อสินค้าออนไลน์ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของจีนด้วย จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะพัฒนาสินค้าและเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าให้ตรงความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคจีน
น.ส.สายทอง สร้อยเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี อินเดีย กล่าวว่า สินค้าเกษตรไทยมีโอกาสขยายตัวในตลาดอินเดียสูงมาก โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยงที่เป็นที่ต้องการของตลาดและยังนิยมมากเป็นอันดับ 1 ในอินเดีย และผู้บริโภคอินเดียยังนิยมผลไม้ไทย เช่น ลำไย เงาะ มะขามหวาน แก้วมังกร และฝรั่งกิมจู เป็นต้น แต่ในการทำตลาด ผู้ประกอบการไทยต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละรัฐของอินเดียด้วย เนื่องจากมีวัฒนธรรมและความนิยมการบริโภคที่แตกต่างกัน
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การขนส่งสินค้าในอินเดียต้องระมัดระวัง เพราะอาจเกิดความล่าช้า เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศใหญ่และมีภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรส่วนมากจะเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค คิดเป็นสัดส่วนปริมาณกว่า 20-30%
ดร.นราธิป อ่ำเที่ยงตรง ที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาด การท่องเที่ยว และการบริการให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชน กล่าวว่า กลยุทธ์ในการเจาะการตลาดที่สำคัญ คือ การเปิดใจและเข้าใจตลาดที่กลุ่มลูกค้ามีความต้องการแตกต่างกัน ผู้ผลิตต้องพัฒนาสินค้าให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ และประเมินผลการตอบรับของตลาด ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งให้ความสำคัญต่อการผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ
ในช่วงครึ่งปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) การส่งออกของไทยไป 18 ประเทศคู่เจรจา FTA มีมูลค่ากว่า 81,961.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.9% โดยไทยส่งออกไปจีนมูลค่า 18,289.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 24.9% และไทยนำเข้าจากจีนมูลค่า 31,486.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 31.8% ส่วนไทยส่งออกไปอินเดียมูลค่า 3,830.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 54.8% และไทยนำเข้าจากอินเดียมูลค่า 3,233.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 69.5%