ผู้จัดการรายวัน 360 - HappyFresh ซูเปอร์มาร์เกตออนไลน์ ปิดดีลยักษ์ระดมทุน Serie D มูลค่าราว 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือกว่า 2 พันล้านบาท พร้อมพุ่งทะยานธุรกิจ ตอกย้ำเจ้าตลาด E-Grocery ด้วยตัวเลขเติบโตขึ้นกว่า 20 เท่า
ล่าสุดจากการระดมทุนรอบ Serie D, HappyFresh ยังคว้ากลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ นำโดย Naver Financial Corporation และ Gafina B.V. ตามด้วย STIC, LB และ Mirae Asset จากประเทศอินโดนีเซีย และกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ อย่าง Mirae Asset-Naver Asia Growth Fund และ Z Venture Capital ที่เข้าร่วมสมทบทุนเพิ่มใน Serie D ทำให้ในรอบนี้ HappyFresh ปิดดีลระดมทุนได้เกินเป้าที่วางไว้ เหตุนักลงทุนเล็งเห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของธุรกิจ E-Grocery โดยวิกฤตการณ์โควิดนั้นนับเป็นตัวเสริมอุปสงค์ให้ธุรกิจ E-Grocery พุ่งทะลุทะยานสูงสุดในรอบ 6 ปี โดยนับเป็นเวลากว่า 18 เดือนตั้งแต่วิกฤตการณ์โควิด-19 ได้เริ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้คนทั่วโลกต้องปรับตัวเข้าสู่วิถีชีวิตรูปแบบใหม่ (New Normal) ดัน HappyFresh สู่ผู้นำการให้บริการซื้อและส่งของสดของใช้ออนไลน์ในอาเซียน ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากความต้องการของหลายพันครัวเรือนที่หันมาเลือกใช้บริการ HappyFresh ในการซื้อสินค้าของสดของใช้อย่างสะดวกและปลอดภัย
นายเกียม ซาการ์ร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวถึงธุรกิจ E-Grocery ที่พุ่งทะยานนี้ว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ความทุ่มเทของเราได้พิสูจน์ถึงคุณภาพของสินค้าและบริการที่ดีเลิศ รวมถึงสร้างความไว้วางใจให้กับครัวเรือนต่างๆในทั้ง 3 ประเทศ ว่าทุกคนจะได้รับสินค้าที่สด และมีคุณภาพดีที่สุด และเรายังคงมุ่งมันที่จะให้บริการซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ ที่คัดสรรคุณภาพอันดีเยี่ยม เพื่อลูกค้าของเราเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เราเริ่มต้นธุรกิจ
ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ HappyFresh ยังเติบโตมียอดการใช้งานแอปพลิเคชันและเว็บไซต์จาก 3 ประเทศในปี 2564 เติบโต 20 เท่า รวมถึงยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งจากลูกค้าใหม่ และลูกค้าเดิม เป็นการสร้างความเชื่อมันให้นักลงทุน และตอกย้ำถึงการเติบโตของตลาดและโอกาสในธุรกิจสินค้าประเภทของสด ของใช้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“พฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ทั้งการจับจ่าย ความถี่ในการสั่งซื้อสินค้า และยอดซื้อสินค้าในแต่ละการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์” นายเกียมกล่าว
ธุรกิจออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ จากพฤติกรรมของผู้บริโภคใหม่ๆ ประกอบกับมูลค่าตลาดค้าปลีก 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1.15 ล้านล้านบาท ล้วนตอกย้ำโอกาสทางธุรกิจของ HappyFresh นอกจากนั้น ตลาด E-Grocery ในเอเชียยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายเกียมกล่าวเสริมว่า “HappyFresh ยังคงจะขยายตลาดไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพอื่นๆ หวังให้ครอบคลุมพื้นที่บริการทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาพนักงาน Personal Shopper และพนักงานขนส่งสินค้าถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญขององค์กร ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา HappyFresh ได้ขยายตำแหน่งงานมากขึ้นกว่านับพันตำแหน่ง
นายเดวิด ลิม กรรมการผู้จัดการ HappyFresh ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “HappyFresh ยังคงมุ่งพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่าน QR code พร้อมเพย์ หรือการขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อให้ครอบคลุมกับความต้องการของคนไทย ไตรมาสที่ 3 นี้เราเตรียมขยายพื้นที่ให้บริการให้ครอบคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯ เพื่อตอบรับความต้องการของครัวเรือน มีแผนขยายพื้นที่ให้บริการไปยังจังหวัดอื่นๆ ของไทย
HappyFresh ยังคงพัฒนาประสบการณ์การให้บริการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการใช้งานบนแพลตฟอร์ม และการเพิ่มจำนวนสินค้าให้มีความหลากหลาย ทั้งนี้เพื่อให้บริการเข้าถึงและตอบโจทย์ทุกครัวเรือนมากขึ้น
“ด้วยทีมบริหารมืออาชีพ และรูปแบบการให้บริการที่แตกต่าง HappyFresh แสดงถึงศักยภาพขององค์กรที่จะนำไปสู่ความสำเร็จร่วมกับพันธมิตรอื่นๆ แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก นอกจากนั้นเรายังมั่นใจว่ารูปแบบการใช้งานที่ง่ายและสะดวก ประกอบกับมาตรฐานความปลอดภัยจะเป็นตัวผลักดันให้เกิดการใช้จ่ายซ้ำ และความภักดีต่อแบรนด์ รวมทั้งจะเป็นแรงผลักให้ HappyFresh เป็นผู้นำในตลาดในระยะยาว” นายปีเตอร์ นา, Director of Southeast Asia Investments ผู้ร่วมทุนจาก Naver และกรรมการบริหาร HappyFresh ได้กล่าวไว้