สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) หนุนแนวทางไทยควรมีแผนรับมือวิกฤตส่งออกทางเรือ แนะเร่งผลักดันกฎหมายการประกันภัยทางทะเล สร้างความเชื่อมั่นในการซื้อขาย เหตุไทยมีนโยบายอาหารไทยอาหารโลก พร้อมเร่งพัฒนาการขนส่งแบบห้องเย็น สร้างสัมพันธ์คู่ค้าหลัก และหาคู่ค้าใหม่
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การค้าทางเรือถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการส่งออกของไทย หากเกิดวิกฤตของการเดินเรือ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานการค้าเท่านั้น หากยังส่งผลในแง่มุมของการประกันภัยและมาตรการชดเชยสำหรับวิกฤตที่เกิดขึ้นด้วย โดยเห็นว่าไทยจะต้องมีการผลักดันกฎหมายการประกันภัยทางทะเลที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนและทำให้เกิดความมั่นใจในการซื้อขาย สร้างความเป็นธรรมแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายอย่างเหมาะสมกับการขนส่งทางทะเลของไทย เนื่องจากไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและอาหาร และมีนโยบาย “อาหารไทยอาหารโลก” ที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดไว้ จึงถือได้ว่าสินค้าเกษตรและอาหารเป็นหนึ่งในสินค้าหลักในการส่งออก ควรพิจารณาให้สินค้าเกษตรและอาหารได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษระหว่างการขนส่งทางทะเล
ทั้งนี้ แม้ไทยจะมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศแล้วก็ตาม แต่ยังขาดกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยทางทะเลเป็นการเฉพาะ ทำให้เมื่อเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาประกันภัยทางทะเลขึ้น จะวินิจฉัยโดยการใช้กฎหมายอังกฤษในฐานะหลักกฎหมายทั่วไป และใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัยในฐานะบทกฎหมายที่ใกล้เคียงในการวินิจฉัยคดีมาปรับใช้ ส่งผลให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยทางทะเลไม่ทราบสิทธิและหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายประกันภัยทางทะเลของไทยโดยเฉพาะ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการใช้กฎหมายสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยทางทะเล ตลอดจนภาคการประกันภัยทั้งระบบ เกิดความชัดเจนในการดำเนินการ และสามารถลดความเสี่ยงหากเกิดวิกฤตได้ในอนาคต
ที่ผ่านมาหน่วยงานของภาครัฐตระหนักและให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าว จึงมีการจัดทำร่าง พ.ร.บ.การประกันภัยทางทะเล พ.ศ. ... ขึ้น เสนอโดยกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ไทยมีกฎหมายประกันภัยทางทะเลเป็นของตนเอง และคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) มีมติเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว ซึ่งร่าง พ.ร.บ.การประกันภัยทางทะเลฉบับนี้กําหนดให้สอดคล้องกับหลักสากลที่นานาประเทศใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ กฎหมายการประกันภัยทางเรือ (Marine Insurance Act 1906) และกฎหมายการประกันภัย (Insurance Act 2015) ของประเทศอังกฤษ มีสาระสำคัญ เช่น การกำหนดขอบเขตของการบังคับการใช้สัญญาประกันภัยทางทะเล ทั้งการบังคับใช้ทั้งภายในและระหว่างประเทศ การกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้รับประกันภัย และผู้เอาประกันภัย การกำหนดวิธีการคำนวณมูลค่าที่เอาประกัน การกำหนดอายุความในการเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับสัญญาประกันภัยตรง การกำหนดวิธีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งการกำหนดรายละเอียดสาระสำคัญและรายการต่างๆ ที่ต้องแสดงในกรมธรรม์ประกันภัยทางทะเล
ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งหากมีผลบังคับใช้จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายในการตีความหมายประกันภัยทางทะเลของไทย อันจะเป็นประโยชน์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยทางทะเลสามารถทราบสิทธิและหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการและประชาชนที่เกี่ยวข้อง เป็นเครื่องมืออันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเสริมประสิทธิภาพการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย สร้างกลไกในการเสริมสร้างศักยภาพเศรษฐกิจไทยด้านอุตสาหกรรมประกันภัยทางทะเล และขนส่งให้แข่งขันในเวทีโลกได้ รวมทั้งช่วยให้ไทยสามารถตั้งรับวิกฤตหรือสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างทันท่วงที
นอกจากนี้ ไทยควรส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งสินค้ารูปแบบห้องเย็น (Cold-Chain Logistics) เพื่อลดความสูญเสียจากการขนส่งสินค้าที่เน่าเสียง่าย และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่กระบวนการโลจิสติกส์ในการบริหารจัดการการขนส่งแบบห้องเย็น (Value-added Cold Chain) เช่น 1. การจัดการบรรจุภัณฑ์สำหรับห้องเย็น (Portion Packing) ที่แตกต่างตามรูปแบบสินค้าและตรงความต้องการของลูกค้าปลายทาง 2. การปิดผนึกด้วยระบบแรงดันสูง (High Pressure Processing : HPP) และการใช้ความร้อนในระยะสั้น (High-temperature Short-time Heating : HTST) เพื่อการฆ่าเชื้อก่อนการบรรจุเข้าห้องเย็นซึ่งมีต้นทุนต่ำ โดยนิยมใช้กับผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์ 3. การแช่แข็ง (Blast freezing) เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ให้นานขึ้น และ 4. การจัดการพัลเลตห้องเย็นแบบผสมผสานสินค้า เป็นต้น
ขณะเดียวกัน จะต้องเร่งสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และออสเตรเลีย เป็นต้น เพราะ 5 ประเทศนี้เป็นคู่ค้าหลักที่ไทยส่งออกผ่านทางเรือ โดยมียอดส่งออกเฉลี่ย 3 ปี (2561-2563) ถึงปีละ 2.45 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตรา 48.55% หรือเกือบครึ่งหนึ่งของการส่งออกทางเรือทั้งหมดของไทยที่มีประมาณปีละ 5 ล้านล้านบาท และหากพิจารณาสินค้าส่งออก 15 อันดับแรก พบว่ามีการส่งออกทางเรือผ่าน 5 ประเทศ มีมูลค่าถึง 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 24.06% ของการส่งออกทางเรือทั้งหมด หรือคิดเป็น 16.11% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย
ทั้งนี้ สินค้าส่งออกทางเรือไปยัง 5 ประเทศคู่ค้าสำคัญ 15 อันดับแรก ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรม สินค้าอาหารและการเกษตร และสินค้าเกี่ยวกับการขนส่งและเครื่องจักรกล โดยกลุ่มที่อ่อนไหวที่สุด คือ สินค้าอาหารและการเกษตร ที่มีการส่งออกทางเรือมูลค่าเฉลี่ยรวมราว 2.4 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 4.68% ของการส่งออกสินค้าทางเรือทั้งหมด ซึ่งกลุ่มนี้ควรจะมีการประกันภัยทางทะเล และมีระบบการขนส่งห้องเย็นรองรับ
ส่วนแนวทางอื่นๆ จะต้องเร่งสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงตลาดไปยังประเทศคู่ค้าใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป หากเกิดวิกฤตในเส้นทางการเดินเรือเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง และต้องกำหนดแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการและแนวทางเยียวยาที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือความไม่เป็นธรรม เมื่อเกิดวิกฤตการขนส่งสินค้าทางเรือ
ปัจจุบัน ภาพรวมการค้าของไทย ทั้งส่งออกและนำเข้าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (2561-2563) รวมเป็นมูลค่า 14.75 ล้านล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 7.56 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมีสัดส่วนการส่งออกทางเรือคิดเป็น 66.96% โดยมีการส่งออกทางเรือไปยังประเทศสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และฮ่องกง ตามลำดับ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่าเฉลี่ย 7.19 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมีสัดส่วนการนำเข้าทางเรือคิดเป็น 66.51% โดยมีการนำเข้าทางเรือจากประเทศสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ตามลำดับ