ส.อ.ท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 82.3 ปรับตัวลดลง 3 เดือนต่อเนื่อง และต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือน วอนรัฐเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม 70% ของประชากร พร้อมลดค่าน้ำค่าไฟเอสเอ็มอี 30% พร้อมซอฟต์โลนพิเศษช่วยเอสเอ็มอีที่เป็น NPLs เร่งด่วน
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ระดับ 80.7 ปรับตัวลดลงจากระดับ 82.3 ในเดือนพฤษภาคม 2564 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือนนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต รวมทั้งการแพร่ระบาดในแคมป์คนงานก่อสร้างในหลายพื้นที่ จนภาครัฐต้องยกระดับมาตรการควบคุมในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้ง 4 จังหวัดภาคใต้ เป็นเวลา 30 วัน อาทิ มาตรการห้ามนั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในร้านอาหาร
“ดัชนีมีการปรับตัวลดลงทุกองค์ประกอบ เช่น คำสั่งซื้อ ยอดขาย ผลประกอบการ ฯลฯ เนื่องจากผลกระทบจากโควิดรอบใหม่ ประกอบกับการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนยังทำได้อย่างจำกัด และไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) เป็นสิ่งที่น่าห่วงมากเพราะมีค่าดัชนีฯ ที่ลดต่ำค่อนข้างมาก ดังนั้นเห็นว่ารัฐควรจะเร่งฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้นเพราะหากจะรอบให้ครอบคลุม 70% ของประชากรตามที่วางเป้าหมายไว้ในสิ้นปีคงจะรอไม่ไหว และเห็นว่าควรมีวัคซีนทางเลือกเพิ่มขึ้นและหากเป็นไปได้รัฐเองก็สามารถปรับเงินที่แจกภายใต้โครงการต่างๆมาจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้ประชาชนก็จะดีกว่า เพราะเชื่อว่าทุกคนต้องการวัคซีนเพราะเปิดจองก็เต็มหมด เอกชนเองก็พร้อมจ่ายถ้าโครงการคนละครึ่งจ่ายวัคซีนก็ยิ่งจะดีใหญ่” นายสุพันธุ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกของไทยที่มีทิศทางดีขี้น สะท้อนจากดัชนีฯ คำสั่งซื้อและยอดขายต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าเริ่มฟื้นตัว และสถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย ทำให้อุปสงค์ในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาทที่อ่อนค่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค เป็นปัจจัยบวกต่อผู้ส่งออกทำให้สินค้าไทยถูกลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงในบางอุตสาหกรรมต่อการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ทวีความรุนแรงขึ้นส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้ายานยนต์ ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และอัตราค่าระวางเรือ (Freight) ที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องยังเป็นปัจจัยที่ผู้ส่งออกมีความกังวล
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 90.8 จากระดับ 91.8 ในเดือนพฤษภาคม 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลายซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานานในการควบคุม รวมทั้งการกลายพันธุ์ของไวรัส ทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดอาจทำได้ยาก ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังชะลอตัวลง ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย เนื่องจากไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการลดลง โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องจากการขาดเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐเดือนนี้ ได้แก่ 1. เร่งการจัดหาวัคซีนคุณภาพและเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรทั้งประเทศในทุกกลุ่มอาชีพก่อน พิจารณาเปิดประเทศเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ 2. ขอให้ภาครัฐเร่งแก้ไขสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างจนกระทบต่อภาคการผลิตการส่งออก 3. ออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งกิจการทุกประเภทเพื่อบรรเทาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ
4. ภาครัฐควรจัดหา Soft loan พิเศษช่วยเหลือเอสเอ็มอีกลุ่ม NPLs โดยอาจกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้ SMEs กลุ่มนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น เช่น กำหนดดอกเบี้ยพิเศษ หรือจัดทำเกณฑ์พิจารณาสำหรับ NPLs ที่มีโอกาสรอด เป็นต้น 5. ออกมาตรการลดค่าน้ำค่าไฟ และค่าสาธารณูปโภค 30% เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี