“ศักดิ์สยาม”สั่งกพท.เร่งตรวจมาตรฐานความปลอดภัยทุกมิติ ทั้งสนามบิน สายการบินและบุคลากร เตรียมรับ“ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” และเปิดประเทศ หลังหยุดบินไปนาน หวังอุตฯการบินทั้งประเทศฟื้น คาดก.ค.มีผู้โดยสาร 1.46 แสนคนและ ในธ.ค.เพิ่มขึ้น10 เท่าหรือมี 1.46 ล้านคน
วันที่21 มิ.ย. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน(กบร.) ครั้งที่ 6/2564 ว่า ได้หารือถึงมาตรการด้านการบิน เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปิดประเทศนำร่องจังหวัดภูเก็ตในเดือนก.ค.2564 (ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์) ซึ่งจะนำร่องเป็นจังหวัดแรกหากสำเร็จจะขยายไปอีก 9 จังหวัดและรองรับการเปิดทั้งประเทศในอีก 120 วันข้างหน้าซึ่งข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลการบินนานาชาติOAG คาดว่าอุตสาหกรรมการบินของไทยจะฟื้นฟูโดยในเดือนธ.ค. 2564 มีจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศประมาณ1.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ค. 2564 ประมาณ 10 เท่า
โดยได้สั่งการให้จัดสรรเวลาการบิน (Slot) อย่างเหมาะสม ซึ่งขณะนี้ อยู่ในการบินประจำฤดูร้อน 2564 (1 ก.ค. - 30 ต.ค.2654) สนามบินภูเก็ต มีเที่ยวบินจัดสรรแล้วประมาณ 134 เที่ยวบินต่อวัน จากขีดความสามารถในการรองรับ 480 เที่ยวบินต่อวัน คิดเป็น 28% และคาดว่าจะขออนุญาตเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มเปิดประเทศ ส่วนการบินประจำฤดูหนาว 2564/2565 (31 ต.ค.2564 – 26 มี.ค.2565) มีจำนวนเที่ยวบินที่จัดสรรไปยังสนามบินภูเก็ตแล้วประมาณ
320 เที่ยวบินต่อวัน จากขีดความสามารถในการรองรับ 360 เที่ยวบินต่อวัน คิดเป็น 89% โดย เที่ยวบินระหว่างประเทศที่ได้รับการจัดสรรแล้วขณะนี้ส่วนใหญ่มาจากประเทศแถบเอเชีย-แปซิฟิกและยุโรป
สำหรับจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งประเทศในเดือนก.ค.2564 คาดว่าจะอยู่ที่ 13,354 เที่ยวบิน ซึ่งเพิ่มจากเดือนพ.ค. 2564 ที่มี 5,698 เที่ยวบิน ส่วนจำนวนผู้โดยสารเดือนก.ค. คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น146,448 คน จากจำนวนผู้โดยสารเดือนพ.ค. ที่มี 79,226 คน และเดือน ธ.ค.2564 จะเป็น 1,469,805 คน หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่าจากเดือนก.ค.2564
ทั้งนี้ เป้าหมายการฟื้นฟูระยะยาวของอุตสาหกรรมการบินไทย สถิติเดิมของผู้โดยสารระหว่างประเทศในช่วงปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด-19
มีจำนวนราว 89 ล้านคน แต่ในปี 2563 ลดลงเหลือเพียงราว 16 ล้านคน ลดลง 81.7% ซึ่งหากการเปิดประเทศเป็นไปตามเป้าหมายและอุตสาหกรรมการบินมีการฟื้นตัว ในระยะยาวคาดว่าไทยจะกลับมามีผู้โดยสารระหว่างประเทศในจำนวนที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์การระบาดได้ก่อนปี 2568
@เร่งกพท.เช็กมาตรฐานความปลอดภัย สนามบิน เครื่องบิน หลังต้องหยุดบินนาน
โดยกบร.ได้ย้ำให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท.ตรวจสอบความพร้อมด้านการบินให้ครอบคลุมทุกมิติก่อนเปิดประเทศ
ทั้งด้านความปลอดภัยของสนามบิน สายการบิน เครื่องบินและนักบินเพื่อเตรียมการให้เป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่ผ่านมาจำนวนเที่ยวบินอยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน โดยกพท.มีแผนในการตรวจสอบด้านความปลอดภัยตามวงรอบในทุกประเภทของผู้ให้บริการอย่างต่อเนื่อง และเพื่อการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ จะดำเนินการออกตรวจแบบเดิม (Onsite audit)และปรับวิธีการตรวจเป็นแบบระยะไกล (Remote audit)เพื่อให้เหมาะสมตามสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
ส่วนสนามบิน ทั้งของกรมท่าอากาศยาน (ทย.) บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท.ท่าอากาศยานอู่ตะเภา และบริษัทการบินกรุงเทพ
จำกัด (มหาชน) หรือBA ต้องส่งรายการตรวจสอบและหลักฐานการดำเนินงานของสนามบินภายในเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อประเมินความพร้อมด้านมาตรฐานความปลอดภัยก่อนเปิดให้บริการ ซึ่งเป็นรายงานฉบับปรับปรุงโดยเฉพาะเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 ให้ กพท. ตรวจสอบ หากพบประเด็นความไม่พร้อม สนามบินนั้นๆ จะต้องเร่งแก้ไขก่อนที่จะสามารถเริ่มกลับมาให้บริการระหว่างประเทศได้อย่างเต็มรูปแบบ
สำหรับสายการบินของไทยและเครื่องบิน ต้องได้รับการตรวจสอบการปฏิบัติงานในฐานะผู้ได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ ตรวจสอบแผนการบำรุงรักษาและสภาพเครื่องบิน เช่นกัน ส่วนเครื่องบินหากจอดเป็นระยะเวลานานต้องตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษเพื่อให้พร้อมนำกลับมาให้บริการผู้โดยสารอย่างปลอดภัย
ส่วนบุคลากรด้านการบินที่ปฏิบัติหน้าที่ในด่านหน้ารวมไปถึง บุคลากรในอุตสาหกรรมการบินโดยรวม ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วประมาณ48,351 คน และกำลังทยอยเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 2 อย่างต่อเนื่องซึ่งการเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศ ผู้ให้บริการต้องปฏิบัติตามกรอบการดำเนินงานระหว่างสถานการณ์โควิด-19ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) Guidance
for Air Travel through the COVID-19 Public Health Crisis และคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO)
@ ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการเพิ่มเพื่อลดการสัมผัส
นอกจากนี้ กบร. ได้ให้นโยบายในการเร่งศึกษาเพื่อนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาการจัดการสนามบินภายในประเทศโดยกระทรวงคมนาคมเชิญหน่วยงานที่ดูแลสนามบิน ร่วมหารือเดินหน้าเพื่อพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลผู้โดยสารและการให้บริการที่รวดเร็วขึ้น ลดการสัมผัสและเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เดินทางจากทั่วโลก คือ 1. ระบบรายงานข้อมูลผู้โดยสารล่วงหน้าสำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ (Domestic API) สายการบินจะสามารถส่งรายงานข้อมูลส่วนบุคคลแบบอิเล็กทรอนิกส์ของผู้โดยสารภายในประเทศให้กับสนามบินต้นทางปลายทาง และสนามบินที่มีเที่ยวบินแวะผ่าน (Transit/Transfer) เพื่อใช้สำหรับการเช็คอินขึ้นเครื่องบิน (Check-in) ได้
ทำให้ขยายขีดความสามารถการเชื่อมโยงและติดตามข้อมูลของผู้โดยสารภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมถึงเตรียมรองรับการใช้งานหนังสือเดินทางสุขภาพ (Health Passport) ในอนาคต
2. ระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่องCUPPS (Common Use Passenger Processing System) หรือระบบเช็คอินด้วยตนเองอัตโนมัติ ผู้โดยสารจะสามารถเช็คอินด้วยตนเองโดยกรอกBooking Number จากนั้นระบบจะพิมพ์บัตรโดยสารและป้ายติดสัมภาระ (Baggage Tag) โดยอัตโนมัติ รวมถึงมีระบบพิสูจน์อัตลักษณ์ที่แม่นยำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการผู้โดยสารในสนามบินภายในประเทศให้เป็นมาตรฐานทัดเทียมสนามบินนานาชาติ และช่วยลดจำนวนเจ้าหน้าที่ ลดขั้นตอนการตรวจสอบเอกสาร ลดการสัมผัสและลดความแออัดภายในสนามบิน เพื่อรองรับ การเดินทางทางอากาศในรูปแบบใหม่ในอนาคต (ปัจจุบันสนามบินนานาชาติของประเทศไทย มีการใช้งานทั้ง 2 ระบบอยู่แล้ว)
สำหรับภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม
จากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ เข้ามาพักอาศัยโดยไม่ต้องกักตัวอยู่ในจังหวัดภูเก็ตอย่างน้อย 14 วัน และสามารถไปเที่ยวพื้นที่อื่นต่อได้ โดยหวังว่าจะช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีคาดว่าจะสามารถเริ่มได้ตามแผนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ หากสำเร็จจะขยายเป้าหมายไปในอีก
9 จังหวัด และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรียังได้ประกาศเป้าหมายการเปิดประเทศไทยทั้งประเทศภายใน 120 วัน