xs
xsm
sm
md
lg

DITP ชี้ช่องผู้ส่งออกขายสินค้า “ชุดชั้นใน” เจาะตลาดจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ชี้ช่องสินค้า “ชุดชั้นใน” เจาะจีน เผยมูลค่าตลาดปี 2021 สูงถึง 2.53 ล้านล้านบาท เป็นโอกาสที่ผู้ผลิต ผู้ส่งออกไทยจะเข้าไปช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด ระบุยังมีการกระจุกตัวของแบรนด์ไม่สูงมาก มีโอกาสแทรกเข้าไปได้ แนะเน้นสินค้าคุณภาพดี ใช้ช่องทางออนไลน์ และใช้ผู้มีชื่อเสียงช่วยขายสินค้าผ่านไลฟ์สตรีมมิ่ง

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมฯ ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ หาโอกาสส่งออกให้แก่ผู้ประกอบการไทยตามนโยบาย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และล่าสุดได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงเต่า ถึงโอกาสในการส่งออกสินค้าชุดชั้นในของไทยเจาะเข้าสู่ตลาดจีน เพราะปัจจุบันตลาดชุดชั้นในจีนมีการเติบโตสูงมาก โดยมีการประเมินว่าในปี 2021 ตลาดจะมีมูลค่าสูงถึง 537,300 ล้านหยวน หรือประมาณ 2.53 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.52% ซึ่งผู้ผลิต ผู้ส่งออกของไทยสามารถที่จะเข้าไปช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดได้

สำหรับตลาดชุดชั้นในสามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภท ได้แก่ 1. ชุดชั้นในสตรี เป็นชุดชั้นในที่ครองส่วนแบ่งในตลาดมากที่สุด ประกอบด้วย เสื้อชั้นใน และกางเกงใน 2. ชุดชั้นในชาย ประกอบด้วย กางเกงใน ชุดชั้นในสำหรับฤดูหนาว และชุดลำลองสำหรับใส่นอนหรือใส่อยู่บ้านสำหรับผู้ชาย 3. ชุดชั้นในเด็ก หมายถึงชุดชั้นในสำหรับเด็กอายุ 0-16 ปี ประกอบด้วยชุดชั้นในสำหรับฤดูหนาว กางเกงในเด็ก และชุดลำลองสำหรับใส่นอนหรือใส่อยู่บ้านสำหรับเด็ก และ 4. สปอร์ตบรา ซึ่งเป็นตลาดที่เริ่มเข้ามาแข่งขันในตลาดชุดชั้นในมากขึ้น


น.ส.ชนิดา อินปา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงเต่า สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า สำหรับชุดชั้นในสตรีมีการแข่งขันที่รุนแรง แบรนด์ของจีนมีมากกว่า 3,000 แบรนด์ ชุดชั้นในชายก็มีแบรนด์จีนหลายแบรนด์ ชุดชั้นในเด็กมีแนวโน้มเติบโตสูง เพราะผลจากนโยบายลูกคนที่ 2 และสปอร์ตบราก็เริ่มเติบโตเพราะคนจีนนิยมออกกำลังกาย ในที่นี้เป็นผู้หญิง 40% จึงมีความต้องการเพิ่มขึ้น แต่เมื่อพิจารณาการแข่งขันในแต่ละประเภท พบว่าชุดชั้นในสตรี ชุดชั้นในชาย และชุดชั้นในเด็กมีการกระจุกตัวของบริษัทแบรนด์ค่อนข้างต่ำ จึงมีการแข่งขันสูง แต่สำหรับสปอร์ตบรามีการกระจุกตัวค่อนข้างมาก จึงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ผลิตชุดชั้นในประเภทอื่นที่จะเข้าไปแข่งขันและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มชุดชั้นในประเภทสปอร์ตบรา

ทั้งนี้ แม้การแข่งขันในตลาดชุดชั้นในในตลาดจีนจะมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ยังมีโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะพิจารณาขยายตลาดเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด เนื่องจากยังมีการกระจุกตัวของแบรนด์ที่ยังไม่สูงมากนัก และผลการสำรวจผู้บริโภคกลุ่มตัวอย่างในปี 2020 ของบริษัท iiMedia บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยการตลาดชื่อดังของจีน พบว่าผู้บริโภค 45.4% ยอมรับราคาชุดชั้นในหนึ่งชิ้นที่มีราคาเฉลี่ยระหว่าง 100-200 หยวน หรือประมาณ 470-940 บาท ผู้บริโภค 25.3% ยอมรับราคา 50-100 หยวน หรือประมาณ 235-470 บาท และผู้บริโภค 16.7% ยอมรับราคา 200-300 หยวน หรือประมาณ 940-1,410 บาท ขณะที่ผู้หญิงจะให้ความสำคัญในการเลือกซื้อชุดชั้นในตามขนาดของร่างกาย จึงให้ความสำคัญต่อขนาดเป็นอันดับแรก และให้ความสำคัญต่อรูปแบบ วัสดุที่ใช้ในการผลิต และความเป็นเอกลักษณ์ของชุดชั้นในเป็นปัจจัยที่รองลงมา

“ผู้ประกอบการไทยที่จะเข้ามาทำตลาดในจีนต้องศึกษาความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนยุคใหม่ พร้อมทั้งพัฒนาชุดชั้นในที่มีเอกลักษณ์ มีคุณสมบัติ และคุณภาพที่เหมาะสมกับสรีระและผิวพรรณของผู้สวมใส่ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคหนุ่มสาวชาวจีนได้มากที่สุด และควรใช้ช่องทางการค้าออนไลน์ และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นช่องทางในการเริ่มต้นเพื่อเจาะตลาดจีน ขณะเดียวกัน ควรร่วมมือกับผู้ที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่นทั้ง KOL และ KOC ให้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคชาวจีนนอกจากจะให้ความสำคัญต่อการดูไลฟ์สตรีมมิ่งของบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ตนเองชื่นชอบแล้ว ยังสนใจที่จะการอ่านคอมเมนต์ และการรีวิวของผู้ที่มีประสบการณ์ในการใช้งาน หรือผู้ซื้อคนก่อนหน้า เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อด้วย หากผู้ประกอบการสามารถจับจุดเด่นและเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างแท้จริง ก็จะทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนทุกเพศทุกวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นแน่นอน” น.ส.ชนิดากล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น