ไทยออยล์ชี้ครึ่งปีหลังนี้ธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีฟื้นตัวดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจที่เติบโตดันการใช้น้ำมันเพิ่ม คาดปีนี้ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐ พร้อมเร่งเจรจาพันธมิตรเพื่อร่วมทุนโรงโอเลฟินส์ต่อยอดธุรกิจเพิ่ม
นางสาวทอแสง ไชยประวัติ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการเงิน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีมีการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว หนุนความต้องการใช้น้ำมันและปิโตรเคมีในช่วงที่เหลือของปีนี้กลับมาดีขึ้น โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงขึ้นจากไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่ค่าการกลั่น (GRM) คาดว่ายังฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 2.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากสหรัฐฯ เข้าสู่ช่วงฤดูกาลขับขี่ส่งผลดีต่อความต้องการใช้น้ำมัน ส่วนน้ำมันอากาศยาน (jet) เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน คาดว่าจะความต้องการใช้ jet กลับเข้าสู่ปกติก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2565
ส่วนปิโตรเคมีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจอ่อนตัวลงบ้างเล็กน้อยจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาในตลาด ขณะที่ส่วนต่างราคา (สเปรด) เบนซีนในไตรมาส 1/2564 อยู่ในระดับสูงมากที่ 300 เหรียญสหรัฐต่อตัน เทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐต่อตัน ดังนั้น แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากกำลังการผลิตใหม่ แต่สเปรดก็ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับการดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังคงเน้นการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) ซึ่งในไตรมาส 1/2564 ใช้เงินลงทุนไปประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้ว 67% ตามแผนจะแล้วเสร็จภายในปี 2566
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าไปร่วมทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจโอเลฟินส์ เบื้องต้นอาจเป็นการเข้าถือหุ้นบางส่วนร่วมกับพันธมิตร ซึ่งบริษัทยังมองว่าตลาดที่มีการเติบโตคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่มากเท่ากับโครงการ CFP