xs
xsm
sm
md
lg

IRPC ยิ้ม Q1/64 กำไรพุ่ง 163% อยู่ที่ 5,581 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



IRPC แจงกำไรไตรมาส 1/2564 พุ่งแตะ 5,581 ล้านบาท เหตุความต้องการในตลาดโลกที่มากขึ้นส่งผลให้มาร์จิ้นผลิตภัณฑ์เพิ่ม คาดว่าไตรมาส 2 แนวโน้มความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทรงตัวในระดับสูงใกล้เคียงไตรมาส 1/64 แต่กังวลกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดโลก ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ เดินหน้าโครงการลงทุนตามแผนงาน

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,581.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 8,904.89 ล้านบาท

ทั้งนี้ ไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 48,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และโตขึ้น 19% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2563 เป็นผลมาจากราคาขายเพิ่มขึ้น 25% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 6,965 ล้านบาท (13.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) เพิ่มขึ้นมาจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 11,967 ล้านบาท หรือ 23.51 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 480% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และโตขึ้น 59% จากไตรมาส 4/2563 สาเหตุหลักจากกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมากจากราคาเฉลี่ย 44.62 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว เป็น 60.01 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 1 ปีนี้

นายชวลิตกล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯ เดินหน้าโครงการการขยายธุรกิจ โดยมีโครงการลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ โครงการผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษสำหรับผ้า Melt blown รวมถึงการต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีปลายน้ำโดยการร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด เพื่อผลิตผ้า Melt blown ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ เป็นต้น โครงการสร้างห้องปฏิบัติการทดสอบคุณภาพของอุปกรณ์ทางการแพทย์ ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการปรับปรุงการผลิตเพื่อรองรับมาตรฐานน้ำมัน EURO V รวมถึงการมองหาพันธมิตรเพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Smart materials ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสุขอนามัย ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ

แนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 2 ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากมีการกระจายของวัคซีนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มคลี่คลายมากขึ้น ทั้งยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่องและคาดว่าประชากรมากกว่า 90% จะได้รับวัคซีนครบ 2 ครั้งภายในไตรมาส 2 แม้ตลาดยังคงมีความกังวลต่อการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากกลุ่มโอเปกและพันธมิตร นำโดยประเทศซาอุดีอาระเบียมีความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับการรักษาสมดุลของตลาด โดยจะค่อยๆ ปรับเพิ่มปริมาณการผลิตในเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกรกฎาคม

ทั้งนี้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามแนวโน้มของตลาดในอนาคต และอาจเข้าสู่สภาวะอุปทานตึงตัว (Tight Supply) ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 หลังจากที่ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว

แนวโน้มภาวะตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 2 คาดว่าปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะยังคงอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา จากการที่ตลาดหลักอย่างประเทศจีนมีการผลิตและการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่โรงงานต่างๆ ในประเทศจีนได้กลับมาผลิตสินค้าอีกครั้ง ส่งผลให้แนวโน้มตลาดในภูมิภาคอาเซียนกลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตใหม่ที่อาจเพิ่มขึ้น รวมถึงการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ทั่วโลกในปัจจุบันที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย เป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง แม้ว่าการแพร่ระบาดนั้นทำให้เกิดการปรับตัวเข้าสู่พฤติกรรมการบริโภคยุค New Normal ซึ่งเป็นผลดีต่อความต้องการผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลฟินส์ และกลุ่มสไตรีนิกส์ นอกจากนี้ การแพร่กระจายของวัคซีน รวมถึงนโยบายอัดฉีดเงินสนับสนุนทางเศรษฐกิจ และการออกมาตรการกระตุ้นและสนับสนุนภาคการผลิตจากภาครัฐ เป็นปัจจัยหลักที่มีความสำคัญต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีด้วยเช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น