“พาณิชย์” ชี้แจงกรณีชาวนาร้องข้าวเปลือกเหนียวนาปรังตกต่ำ พบเหตุเพราะเกี่ยวสดมีความชื้นสูง และเป็นข้าวเหนียวพื้นแข็ง สีแปรแล้วได้ต้นข้าวน้อย คุณภาพไม่ค่อยดีจากการได้รับน้ำไม่ทั่วถึง ยันหากจำเป็นพร้อมเชื่อมโยงตลาดให้โรงสีนอกพื้นที่เข้าไปรับซื้อ แจ้งเกษตรกรไม่ต้องกังวล ถ้าราคาต่ำกว่าประกันได้รายจะได้รับชดเชยส่วนต่าง กำชับพาณิชย์จังหวัดตรวจสอบเครื่องชั่ง เครื่องวัดความชื้น ป้องกันเกษตรกรโดนเอาเปรียบ
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่มีข้อร้องเรียนของชาวนา จ.กาฬสินธุ์ กำลังประสบความเดือดร้อนจากภาวะราคาข้าวเปลือกเหนียวนาปรังตกต่ำ โดยจำหน่ายได้ที่ตันละ 6,700-6,800 บาท ว่า สำนักงานพาณิชย์จังหวัดได้เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายในพื้นที่แล้ว พบว่าการจำหน่ายได้ในราคาดังกล่าวเพราะข้าวเหนียวนาปรังเป็นข้าวเกี่ยวสดที่มีความชื้น และเกษตรกรส่วนใหญ่จะเพาะปลูกพันธุ์ข้าวนาปรัง เช่น กข 22 ซึ่งเป็นข้าวเหนียวพื้นแข็ง เมื่อสีแปรสภาพจะได้ต้นข้าวน้อย ประกอบกับพบปัญหาด้านคุณภาพข้าวบางส่วนได้รับน้ำไม่ทั่วถึงเพียงพอ เนื่องจากน้ำในเขื่อนมีน้อย และพบข้าววัชพืชปะปนจากรถเกี่ยวนวด (สีเข้มมีหาง)
สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกอยู่ในช่วงชะลอตัว ทั้งการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ จากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ราคาข้าวปรับตัวลดลง โดยข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว (กข 6) ความชื้นไม่เกิน 15% ราคาตันละ 10,300-10,800 บาท (เกี่ยวสดตันละ 7,800-8,400 บาท) ลดลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีราคาอยู่ที่ตันละ 11,000-11,500 บาท (เกี่ยวสดตันละ 8,500-8,900 บาท) ข้าวเปลือกเหนียวคละ ความชื้นไม่เกิน 15% ราคาตันละ 9,500-10,500 บาท (เกี่ยวสดตันละ 7,300-8,100 บาท) ลดลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีราคาอยู่ที่ตันละ 10,000-11,000 บาท (เกี่ยวสดตันละ 7,700-8,500 บาท) แต่ภาพรวมราคายังคงสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับราคาข้าวเปลือกเหนียวในช่วงการผลิตนาปีรอบแรก ซึ่งในช่วงเดือนต้นฤดูกาล ต.ค. 2564 มีราคาข้าวเปลือกความชื้นไม่เกิน 15% อยู่ที่ประมาณตันละ 9,500-10,000 บาท
นายวัฒนศักย์กล่าวว่า กรมฯ จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีความจำเป็นจะดำเนินการเชื่อมโยงตลาดโดยให้โรงสีนอกพื้นที่เข้าไปรับซื้อผ่านสหกรณ์การเกษตรเพื่อกระตุ้นการซื้อขายและเกิดการแข่งขันด้านราคาให้เป็นไปตามคุณภาพข้าวอย่างแท้จริง และขอแจ้งเกษตรกรว่าไม่ต้องกังวล เพราะหากราคาข้าวเปลือกเหนียวต่ำกว่าที่รัฐบาลประกันรายได้ เกษตรกรก็จะได้รับการชดเชยส่วนต่างตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอยู่แล้ว และยังได้กำชับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดให้กำกับดูแลตรวจสอบเครื่องชั่งเครื่องวัดความชื้น รวมทั้งการซื้อขายข้าวเปลือกให้มีการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรให้เป็นไปตามคุณภาพอย่างแท้จริง โดยหากเกษตรกรพบการเอารัดเอาเปรียบ สามารถแจ้งได้ผ่านสายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
ปัจจุบันรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2563/64 โดยได้ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปี 2563/64 (รอบ 2) ซึ่งเป็นการช่วยเหลือต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยได้จัดสรรงบประมาณ วงเงิน 49,509.81 ล้านบาท และช่วยเหลือค่าบริหารจัดการและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรอีกไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ วงเงิน 56,095.63 ล้านบาท
ทั้งนี้ ข้าวที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวในช่วงนี้เป็นข้าวนาปรัง ซึ่งเป็นการเพาะปลูกในรอบที่ 2 ของเกษตรกรในบางพื้นที่ จะมีปริมาณข้าวเปลือกประมาณ 4.9 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 16 ของปริมาณข้าวเปลือกทั้งหมด และในจังหวัดกาฬสินธุ์มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวเปลือกนาปรังประมาณ 190,000 ไร่ ผลผลิตประมาณ 100,000 ตัน ออกสู่ตลาดแล้วกว่า 70% มีแหล่งเพาะปลูกข้าวเปลือกนาปรังบริเวณเขื่อนลำปาว ซึ่งพี่น้องเกษตรกรจะเพาะปลูกข้าวเปลือกเหนียวในบริเวณนี้เป็นหลัก