ผู้จัดการรายวัน 360 - ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ รุกหนัก จัดงบ 150 ล้านบาทชิงแชร์ 50% ตลาดน้ำดื่ม เตรียมส่งน้ำวิตามิน 2 รสชาติใหม่สู้ศึกหน้าร้อน เดินกลยุทธ์จับมือ อย.สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยืนยันน้ำดื่มยันฮี วิตามิน ซี วอเตอร์ มีวิตามินซีอยู่จริงตามฉลาก
นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2564 นี้ยันฮี วิตามิน วอเตอร์มีแผนรุกตลาดน้ำดื่มอย่างหนัก หลังจากที่ปีที่ผ่านมายอมรับว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งกระแสข่าวที่ว่าน้ำยันฮีวิตามินซีไม่มีวิตามินตามฉลาก อีกทั้งมีน้ำวิตามินยี่ห้อใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาดอีกหลายแบรนด์
โดยสิ้นปี 2563 น้ำยันฮี วิตามินทำยอดขายได้ 1,200 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งในตลาดน้ำดื่ม 37% โดยเป็นข้อมูลที่ได้จาก บริษัท เอซี นีลเส็น ที่เผยแพร่ทางสิ่งพิมพ์ อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 ถึงปี 2565 ยันฮีมีความเชื่อมั่นอย่างสูงว่าน้ำดื่มยันฮี วิตามิน วอเตอร์จะสามารถสร้างยอดขายได้ดับเบิลที่ 2,400-4,000 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 50% ของตลาดน้ำดื่มที่มีมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท 20% ต่อปี
ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพความพร้อมในการรุกตลาด อันได้แก่ ล่าสุดน้ำดื่มยันฮี วิตามินซีวอเตอร์ ได้รับการรับรองยืนยันคุณภาพของน้ำจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่า น้ำยันฮีวิตามินซีวอเตอร์มีวิตามินซีอยู่จริงตามฉลากตามข้อมูลที่ได้ประชาสัมพันธ์เผยแพร่สู่สื่อสังคมออนไลน์ และสื่อมวลชนทุกแขนงไปเมื่อเร็วๆ นี้
อีกทั้งจากความแข็งแกร่งของฐานลูกค้า ความเชื่อมั่นของลูกค้าในแบรนด์ยันฮี คุณภาพของน้ำที่คิดค้นวิจัยโดยทีมแพทย์ ซึ่งแม้ว่าจะมีน้ำวิตามินคู่แข่งออกมาทำตลาดหลายแบรนด์ แต่ก็ไม่สามารถช่วงชิงลูกค้าของน้ำยันฮีวิตามินไปได้
นอกจากนี้ ยันฮียังได้วางกลยุทธ์รุกตลาดน้ำดื่มอย่างหนักในช่วงหน้าร้อนนี้ โดยเตรียมออกยันฮีวิตามินซี 2 รสชาติใหม่ คือ กลิ่นสตรอว์เบอร์รี และกลิ่นลิ้นจี่ ในเดือนเมษายน จากปัจจุบันยันฮีวิตามินวอเตอร์วางจำหน่ายอยู่ 2 ชนิด คือ 1. ยันฮีวิตามินวอเตอร์ ผสมวิตามิน B ฝาสีเหลือง และ 2. วิตามินซี วอเตอร์ ผสมวิตามินซี ฝาสีส้ม
ด้านการจัดจำหน่าย ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มช่องทางขายทางโมเดิร์นเทรดให้ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2565 จากปัจจุบันวางจำหน่ายอยู่ประมาณ 60 จังหวัด โดยวางงบการตลาดในปีนี้ไว้ 150 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดน้ำดื่มมีมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตประมาณ 10%