ผู้จัดการรายวัน360- เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ วันนี้อยู่ได้ ด้วยหนังเก่าและหนังไทยและป็อปคอร์น ประคองรายได้ไว้ที่ 60%ของปีก่อน ชี้โควิด-19 จำเป็นต้องปรับตัว ชูกลยุทธ์ 3T เปิดม่านโรงหนังปี64 มั่นใจรายได้กลับมาเป็น V Curve หรือรายได้ราว 10,000ล้านบาท เทียบเคียงปี62 อีกครั้ง
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีแรก2563ที่ผ่านมา ที่จำเป็นต้องปิดให้บริการโรงหนังลง แต่พอเริ่มเปิดให้บริการได้แต่กลับไม่มีหนังฉาย เพราะหนังฮอลลีวูดแทบทุกเรื่องเลื่อนฉายไปเป็นปี2564 แทน ส่งผลให้เมเจอร์ฯต้องปรับตัว ดึงหนังเก่ามาฉาย พวกหนังดังในอดีตทั้งฝั่งฮอลลีวูดและหนังจีน และรูปแบบการขายป๊อบคอร์นใหม่ๆ รวมถึงการนำหนังไทยเข้าฉาย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่หนังฮอลลีวูดยังไม่เข้าฉาย การนำหนังไทยเข้าฉายถือเป็นโอกาสที่ดี เช่น อีเรียมซิ่ง ถือเป็นหนังไทยที่ได้รับผลตอบรับดีเกินคาด รายได้ทะลุเกิน 200 ล้านบาทไปแล้ว
“ปีนี้ถือเป็นปีที่สาหัสที่สุดของการทำธุรกิจโรงหนัง ถือเป็นปี the dark screen หรือจอดำ เพราะไม่มีหนังฉายจริงๆ ซึ่งเป็นทั้งโลกโดยเฉพาะฝั่งยุโรปหนักสุดถึงกลับต้องมีการปิดกิจการลง ส่งผลให้ภาพรวมตลาดหนังในปีนี้น่าจะหายไปกว่าครึ่ง เช่นเดียวกับเมเจอร์ฯปีนี้คาดว่ารายได้จะต่ำกว่าปีก่อน 40-60% แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้มองเป็น thank you COVID-19 ที่ทำให้เราต้องปรับตัวและทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้หรือไม่เคยทำมาก่อน บวกกับในปีหน้าที่จะมีหนังเข้าฉายไม่ต่ำกว่า 300-400 เรื่อง ทั้งหนังฮอลลีวูดทำเงินหลายเรื่อง รวมถึงหนังไทย เชื่อว่าจะทำให้เมเจอร์กลับมามีรายได้เป็น V Cure หรือใกล้เคียงกับปี2562 ที่ปิดรายได้ไปที่ 11,141.21 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,170.03 ล้านบาท”
นายวิชา กล่าวต่อว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของธุรกิจโรงหนังและอุตสาหกรรมหนัง จากนี้ไปการดำเนินธุรกิจจะไม่เหมือนเดิม ต้องทรานส์ฟอร์มองค์กรและปรับโครงสร้างการทำงานใหม่เป็น Total Digital Organization และสร้าง Business Model ให้แข็งแรงด้วยกลยุทธ์ 3T ประกอบด้วย
1.Thai Movie เมื่อตลาดโลกขาดสินค้าหรือคอนเทนต์ที่เป็นหนังฮอลลีวูดเข้าฉาย แต่หากเรามีหนังโลคอลฟิล์มที่สร้างเอง จะทำให้มีคอนเทนต์ป้อนตลาด บริษัทจึงพร้อมลงทุนต่อเนื่องในการร่วมทุนผลิตหนังไทยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากปีละ 15-20 เรื่อง เป็น 25 เรื่องในปีหน้า
2.Technology กับนโยบาย Major 5.0 มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ไเข้ามาเติมเต็มในการให้บริการ โดยจะมีแอพลิเคชั่นใหม่ๆออกเพิ่มเติมในปีหน้า และ 3.Trading ถือเป็นนิวบิสซิเนสใหม่ของเมเจอร์ฯ หลังจากที่ได้เริ่มเพิ่มช่องทางขายออนไลน์กับ Major Popcorn Delivery ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก ส่งผลให้ได้ขยายไลน์สินค้าป๊อปคอร์นด้วยการเปิดตัว ป๊อปคอร์น พรีเมี่ยม POPSTAR ใน3รูปแบบ คือ ป๊อปสตาร์ สแน็ค แบบซอง, ป๊อบสตาร์ ไมโครเวฟ รสชีส ทำเองง่ายๆเพียงเข้าไมโครเวฟ และป๊อบคอร์นพรีเมี่ยม ทินแคน แบบบรรจุกระป๋อง โดยจะมีวางจำหน่ายในช่องทางร้านสะดวกซื้อและซูปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ซึ่งนอกจากป๊อบคอร์นแล้ว ยังจะมีการต่อยอดการขายสู่สินค้าอื่นๆเพิ่มเติม เช่น กลุ่ม ไลเซนซีจากหนังที่เข้าฉาย เป็นต้น
ขณะเดียวกันปี2564 บริษัทพร้อมขยายสาขาต่อเนื่อง รวมไม่ต่ำกว่า 20-25โรง หรือใช้งบรวมกว่า 200 ล้านบาท รวมแล้วปีหน้า(2564)ใช้งบลงทุนร่วม 1,200 ล้านบาท หลักๆลงทุนในส่วนของการร่วมทุนทำหนัง มั่นใจว่าจะช่วยให้เมเจอร์ฯ กลับมามีรายได้เทียบเคียงปี2562 ได้ หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทอีกครั้ง